กระทรวงต่างประเทศซาอุดี อาระเบียประกาศให้นายเดนนิส ฮอรัก ทูตแคนาดาประจำซาอุดี อาระเบียเป็นบุคคลที่รัฐบาลซาอุดี อาระเบียไม่ยอมรับ (persona non grata) และให้เขาออกจากประเทศภายในเวลา 24 ชั่วโมง และเรียกทูตซาอุดีอาระเบียประจำแคนาดากลับประเทศ รวมถึงประกาศระงับข้อตกลงใหม่ๆ ทางการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กระทรวงต่างประเทศของแคนาดาออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนมากในซาอุดีอาระเบีย รวมถึงซามาร์ บาดาวี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี และเรียกร้องให้ซาอุดีอระเบียปล่อยตัวนักสิทธิฯ ทันที ส่งผลให้กระทรวงต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียระบุว่า แคนาดากำลังโจมตีซาอุดีอาระเบีย และซาอุดีอาระเบียจะไม่ยอมรับการแทรกแซงกิจการภายในของซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้ รัฐบาลแคนาดายังไม่ได้ออกมาตอบโต้หรือชี้แจงอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการตอบโต้ทางการทูตของซาอุดีอาระเบีย แต่โฆษกของคริสเตีย ฟรีแลนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของแคนาดาระบุในอีเมลว่า แคนาดาจะยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิสตรี และเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลก และต้องการได้รับคำอธิบายที่ชัดเจนกว่านี้จากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย
ครอบครัวบาดาวีและคนาดา
เมื่อสัปดาห์ก่อน ซามาร์ บาดาวี เป็นผู้หญิงชาวซาอุดี-อเมริกัน หนึ่งในนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีในซาอุดีอาระเบีย โดยเธอได้เรียกร้องให้ซาอุดีอาระเบียยกเลิกระบบที่ผู้หญิงต้องอยู่ในความคุ้มครองของผู้ชาย และเธอเป็นนักสิทธิสตรีหนึ่งในสองคนที่เพิ่งถูกจับกุมไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
นอกจากนี้ ซามาร์ บาดาวียังเป็นพี่สาวของราอิฟ บาดาวี บล็อกเกอร์ที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกสาลตัดสินให้โบย 1,000 ครั้งและจำคุก 10 ปีในข้อหาหมิ่นศาสนาอิสลามผ่านช่องทางการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น เอ็นซาฟ ไฮเดอร์ ภรรยาของราอิฟ บาดาวีพร้อมลูกอีก 3 คนจึงลี้ภัยไปที่อยู่ที่รัฐควิเบกของแคนาดา และพวกเขาเพิ่งได้รับสัญชาติแคนาดาเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อรัฐบาลแคนาดาได้ทราบข่าวการจับกุมซามาร์ บาดาวี จึงออกแถลงการณ์ว่า การจับกุมนักสิทธิมนุษยชนเป็นการกระทำที่น่ากังวลอย่างมาก พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียปล่อยตัวซามาร์ และราอิฟ บาดาวีโดยทันที
นักสิทธิสตรีถูกไล่จับกุม
ความขัดแย้งระหว่างแคนาดาและซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบียและต่างประเทศครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นหลังจากการไล่ปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองในซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการจับกุมนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีคนสำคัญหลายคน
นับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไล่จับกุมนักสิทธิสตรีจำนวนมาก รวมถึงกล่าวหาว่าติดตามกับต่างชาติอย่างผิดกฎหมายและกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศชาติ โดยนักสิทธิสิทธิสตรีหลายที่ต่อสู้ให้มีการบกเลิกแบนไม่ให้ผู้หญิงขับรถมาอย่างยาวนาน กลับถูกจับกุมก่อนที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เพียงไม่กี่สัปดาห์
การจับกุมนักสิทธิมนุษยชน รวมถึงนักสิทธิสตรีถือเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับการพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียกำลังปฏิรูปรัฐบาลและประเทศซาอุดีอาระเบียให้มีแนวคิดหัวก้าวหน้ามากขึ้น
ปี 2017 เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานเพิ่งประกาศให้ยกเลิกการแบนผู้หญิงไม่ให้ขับรถยนต์ ซึ่งเพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักสิทธิสตรีที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาฝ่าฝืนการแบนผู้หญิงขับรถ รู้สึกยินดีกับการยกเลิกแบน แต่ก็ประกาศว่าจะต่อสู้ให้มีการยกเลิกกฎหมายเหยียดเพศอื่นๆ ต่อไป เช่น การแต่งกายของผู้หญิง การแบ่งแยกสถานที่ระหว่างชายและหญิงที่ไม่ได้เป็นญาติกัน รวมถึงการที่ผู้หญิงต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองชาย (บิดา สามี หรือพี่ชาย) เวลาจะเดินทาง ทำงาน หรือเข้าถึงการรักษาพยาบาล
การปฏิรูปโดยเจ้าชีวิต
ที่ผ่านมา เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานพยายามปฏิรูปประเทศด้วยการหารายได้จากอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น งดเว้นข้อห้ามทางสังคมบางประการ พยายามลดอิทธิพลของฝ่ายเคร่งศาสนา ปราบปรามคอร์รัปชัน ซึ่งทำให้มีการจับกุมเจ้าชาย เจ้าหน้าที่รัฐ และนักธุรกิจหลายคน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีพร้อมกับการกดขี่หลายอย่าง รวมถึงการจับกุมผู้สอนศาสนาที่มีชื่อเสียง นักธุรกิจที่โดดเด่น และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธมนุษยชน
สำนักข่าวเดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่า นักวิเคราะห์หลายคนมองว่านี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า การปฏิรูปประเทศไม่ได้หมายความว่า ซาอุดีอาระเบียที่ยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะยอมรับการแสดงออกทางการเมือง และมีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถมอบเสรีภาพให้แก่ประชาชนได้ รวมถึงสามารถริบเสรีภาพคืนจากประชาชนได้ ไม่ใช่ได้มาจากการต่อสู้เรียกร้องของประชาชนเอง
ที่มา: BBC, The Washington Post, News.com.au