ไม่พบผลการค้นหา
ศาลอาญา ยกฟ้อง "ธาริต เพ็งดิษฐ์ " หลัง "อภิสิทธิ์" "สุเทพ" ยื่นฟ้อง อดีต��ธิบดี DSI มีเจตนากลั่นแกล้ง ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ศาลชี้โจทก์ไม่มีสิทธิ์สั่งใช้กระสุนจริง แม้ผู้ชุมนุมจะกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ก็ตาม

ศาลอาญา รัชดา นัดฟังคำพิพากษาคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4ในความผิด ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

จากกรณีเดือน ก.ค.2554 -13 ธ.ค.2555 จำเลยทั้ง 4 คน ในฐานะพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ได้ร่วมกันสอบสวน สรุปสำนวนนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ตั้ง ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล จากการที่ออกคำสั่ง ศอฉ.ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ซึ่งโจทก์เห็นว่าการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และดีเอสไอไม่มีอำนาจ ต้องเป็นการวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

คดีนี้ศาลอาญา พิเคราะห์จาก พยานหลักฐาน และการนำสืบแล้ว พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพในฐานะโจทก์ ไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยมีเจตนากลั่นแกล้ง พยานหลักฐานมีน้ำหนักน้อย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง 

ขณะเดียวกันพยานหลักฐานบางส่วน ที่โจทก์นำมากล่าวอ้าง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการ สั่งฟ้องของจำเลย เช่นการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับการแจ้งข้อกล่าวหา และโจทก์เอง ไม่มีสิทธิ์สั่งการ นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับเช่นการสั่งให้ใช้กระสุนจริง ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าผู้ชุมนุมจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็ตาม

ขณะที่การแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยมิได้ใช้ดุลพินิจเพียงลำพังแต่ทำในรูปของคณะกรรมการ ซึ่งมีมติตั้งคณะกรรมการคดีพิเศษ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการร่วมประชุม จึงมีมติสั่งคดี เพื่อส่งอัยการให้พิจารณา ตามกระบวนการ 

ส่วนข้อกล่าวอ้างที่ระบุว่า จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่ เพราะโจทก์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการนั้น เป็นเพียงมุมมองทางกฎหมาย เพราะฝ่ายจำเลยก็อ้างเช่นกันว่า คดีที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ แต่เป็นความผิดทางอาญาของบุคคล เข้าข่ายคดีฆาตกรรม

ส่วนกรณีที่อ้างว่าจำเลย ดำเนินการสั่งฟ้อง โดยสนองตอบต่อนโยบายของฝ่ายการเมือง จนนำมา สู่การได้ นั่งในตำแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต่ออีก 1 ปี เป็นเพียงความเห็นของโจทก์เท่านั้น เพราะการต่ออายุ นั่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการเป็นมติคณะรัฐมนตรี และมีบุคคลในหน่วยงานราชการจำนวนมาก ที่ได้ดำรงตำแหน่งเพิ่มเติม ไม่ใช่เฉพาะเพียงจำเลยเท่านั้น