ราคาทองคำในปีนี้หากดูตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาราคาสามารถขยับขึ้นได้บ้างจนถึงช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคาเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำคงหนีไม่พ้นเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จ่อขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และยิ่งแข็งค่ามากขึ้นจากกรณีสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ส่วนราคาทองคำในประเทศไม่น้อยหน้าร่วงลงมามากสุดนับในรอบ 2 ปี 10 เดือน จากประเด็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ซึ่งหลายคนเห็นราคาทองคำถูกน่าสนใจ แต่อีกใจกลับกังวลว่าควรเข้าไปแล้วหรือยัง?
สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯเริ่มลุกลาม
นางสาวเบญจมา มาอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทวายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ภาพรวมของราคาทองคำปรับตัวลดลงในช่วงนี้มาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ , 3 ครั้งในปี 2562 และ อีก1 ครั้งปี 2563 โดยเฟดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมา
นอกจากนี้ ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ง่าย ซึ่งข้อขัดแย้งทางการค้าที่เกิดขึ้นเริ่มลามไปสู่สิ่งอื่น อาทิ สหรัฐฯ เริ่มมีข้อกล่าวหาว่าจีนเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ ด้านจีนเองไม่พอในที่สหรัฐฯ ขายอาวุธให้ไต้หวัน รวมถึงสหรัฐฯ ไม่พอใจที่จีนไปซื้ออาวุธจากรัสเซีย ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ต่อเนื่อง
ด้านบรรยากาศการลงทุนทองในตลาด COMEX ปัจจุบันการถือสถานะขายสุท ธิ(Short) เพิ่มมากขึ้น รวมถึงกองทุนอีทีเอฟทั่วโลกเริ่มลดสถานะการถือครองทองคำลง ซึ่งต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคมเงินไหลออกจากกองทุนอีทีเอฟทั่วโลกประมาณ 18.5 ตัน เป็นปัจจัยเชิงลบต่อราคาทองคำเช่นกัน
ส่วนกรอบการลงทุนปัจจุบันมองว่าราคาทองคำยังเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,180-1,214 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยระยะสั้นแนะเก็งกำไรในกรอบดังกล่าว และหากหลุดแนวรับดังกล่าวยังไม่แนะนำให้เข้าซื้อราคาทองคำเพิ่ม เนื่องจากราคาทองมีโอกาสร่วงลงโดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,171 และ 1,150 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ตามลำดับ มองระยะกลางถึงยาวราคาทองคำยังคงเป็นขาลง
บาทแข็งค่ากดดันทองในประเทศลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน
ฟากทองคำในประเทศปัจจุบันปรับตัวลดลงตามทองโลกเช่นกัน และประเด็นค่าเงินบาทแข็งค่าจากเงินทุนไหลเข้าเพราะมั่นใจภาพรวมเศรษฐกิจไทยและรับเลือกตั้งปีหน้า ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันโดยช่วงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำแท่งขายออก 18,150 บาท รับซื้อ 18,050 บาท ซึ่งปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน ทั้งนี้ประเมินกรอบราคาทองในประเทศให้แนวรับ 18,000 บาท แนวต้าน 18,550 บาท ภายใต้เงินบาท 32.32 บาท/ดอลลาร์ และยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงหลุดแนวรับดังกล่าวหากเงินบาทแข็งค่า
เฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ธ.ค.นี้
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค เนื่องจากความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจและความเสี่ยงทางลบหากเกิดวิกฤตมีต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ราคาทองคำทั้งในรูปสกุลเงินดอลลาร์และสกุลเงินบาทต่างปรับตัวลดลง
ด้านภาพรวมของตลาดลงทุนแสดงความเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ค่อนข้างแน่นอน หลังจากถ้อยแถลงหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันธนาคารกลางยุโรป(ECB) กำลังจะปรับลดวงเงิน QE ตามแผน ยิ่งมีผลกดให้ค่าเงินยูโรอ่อนลง และผลักให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งขึ้น
ดังนั้นฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำให้เล่นเก็งกำไรแบบ Swing Trade ในกรอบ 1,180-1,215 ดอลลาร์ และปรับมาเล่น Breakout Follow เมื่อราคาออกจากช่วงดังกล่าว โดยเน้น Trading Short จนกว่าเงินบาทจะกลับมามีแนวโน้มอ่อนค่า
“Short” ทางเลือกการลงทุนเพื่อเก็งกำไรทิศทางขาลงต่อ
นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด เปิดเผยว่า ยังมีมุมมองราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าฟื้นตัวได้ยาก หากไม่สามารถกลับไปยืนเหนือระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ เพราะสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า จากสงครามการค้าและเฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่วนราคาทองคำในประเทศยิ่งร่วงลงหนักเช่นกันหลังเงินบาทแข็งค่าระดับประมาณกว่า 32 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งมีโอกาสหลุดระดับ 18,000 บาท
โดยภาพรวมของการลงทุนทองคำในช่วงนี้มองว่าทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเก็งกำไรระยะสั้น เข้าลงทุนเปิดสถานะขาย (Short) เพื่อเก็งกำไรทิศทางขาลงต่อ
ประเมินแนวรับแรกที่ 1,185 และระดับถัดไป 1,160 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินกรอบราคาทองโลกไว้ที่ 1,150-1,300 บาท/ดอลลาร์ และราคาทองในประเทศ 18,000-20,000 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :