หลังจากบิทคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก ได้รับการยอมรับให้มีการซื้อขายล่วงหน้าในบรรษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯในช่วงเดือนธันวาคม 2017 ราคาก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแตะ 20,000 ดอลลาร์ เนื่องจากมีสัญญาณว่าบิทคอยน์กำลังได้รับการยอมรับในแวดวงการเงินกระแสหลักของโลก
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ราคาบิทคอยน์ก็ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ลงมาเหลือประมาณ 15,000 ดอลลาร์ เนื่องจากในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้บิทคอยน์ถึงร้อยละ 20 ของการทำธุรกรรมบิทคอยน์ทั้งโลก ประกาศว่าจะจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัล เก็บภาษีผู้ที่ได้กำไรจากการค้าสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงอาจมีการแบนสกุลเงินดิจิทัล ขณะที่จีนก็กวาดล้างสกุลเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีการไล่ปิดร้านรับแลกเงินดิจิทัลด้วย
"Cryptocalypse"
การจัดระเบียบและท่าทีกีดกันการเติบโตของสกุลเงินดิจิทัลในหมู่ประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของเอเชีย ทำให้ภายในคืนวันอังคารที่ผ่านมาเพียงคืนเดียว บิทคอยน์สูญเสียมูลค่ารวมทั้งโลกไป 206,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.6 ล้านล้านบาท และกลับมาอยู่ในระดับ 10,000 ดอลลาร์ เท่ากับเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นคืนที่นักลงทุนขนานนามว่า "cryptocalypse" หรือวันโลกาวินาศของคริปโตเคอเรนซี (สกุลเงินดิจิทัล) และทำให้สกุลเงินดิจิทัลรายย่อยอื่นๆเช่น ริปเพิล (Ripple) และอีเธอเรียม (Ethereum) ร่วงตามลงไปด้วย โดยเฉพาะริปเพิลที่ราคาร่วงลงไปถึงร้อยละ 50 ในคืนเดียว
นอกจากท่าทีจากฝั่งเอเชียที่ทำให้ผู้ถือบิทคอยน์ไม่มั่นใจและพากันเทขายจนทำให้ราคาบิทคอยน์ร่วงรุนแรง หลายฝ่ายยังมองว่านี่คือปรากฏการณ์ฟองสบู่แตกที่คาดกันไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นเมื่อราคาบิทคอยน์พุ่งสูงถึงจุดที่ผู้ถือบิทคอยน์รายใหญ่พอใจ และเทขายเพื่อทำกำไร รวมถึงเพื่อทำลายเสถียรภาพของสกุลเงินดิจิทัล ไม่ให้เติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างการเงินกระแสหลักของโลก
ลงเพื่อขึ้นถึง 100,000 ดอลลาร์?
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความกังวลว่าบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลกำลังไร้เสถียรภาพและไร้อนาคต เคย์ ฟาน ปีเตอร์เซน นักวิเคราะห์จากแซ็กโซ สถาบันการเงินและการลงทุนของเดนมาร์ก ยืนยันว่าบิทคอยน์จะทำสถิติพุ่งไปแตะ 50,000-100,000 ดอลลาร์ภายในปี 2018 เนื่องจากสถาบันการเงินรวมถึงธุรกิจต่างๆจะเริ่มยอมรับและใช้บิทคอยน์กันมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายรับรองบิทคอยน์เพิ่มขึ้น โดยเขาเคยทำนายไว้ว่าบิทคอยน์ ซึ่งขณะนั้นซื้อขายในราคาประมาณ 900 ดอลลาร์ จะพุ่งไปถึง 2,000 ดอลลาร์ภายในปี 2017 และก็เป็นจริง
ปีเตอร์เซนยืนยันว่าาแม้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บิทคอยน์จะราคาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นธรรมดาของสกุลเงินที่จะต้องใช้เวลาสร้างฐานสักพัก ก่อนจะปรับตัวสูงขึ้น โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีช่วงเวลาที่ราคาบิทคอยน์ร่วงลงอย่างหนักถึงร้อยละ 50 ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เนื่องจากจะทำให้รากฐานของสกุลเงินแข็งแรงขึ้น
นอกจากนี้ ปีเตอร์เซนยังคาดว่าอีเธอเรียม (Ethereum) สกุลเงินดิจิทัลที่มาหลังบิทคอยน์ จะทำผลงานได้ดีกว่าบิทคอยน์ในปีนี้ เนื่องจากอีเธอเรียมมีการควบคุมที่เข้มงวดกว่าบิทคอยน์ โดยบริษัทผู้ออกอีเธอเรียมควบคุมปริมาณและค่าเงิน ไม่ได้ปล่อยให้ตกอยู่ในมือนักขุดอย่างเสรีเหมือนบิทคอยน์ ทำให้อีเธอเรียมมีเสถียรภาพกว่าในระยะยาว และจะเห็นได้ว่าการทำธุรกรรมการเงินผ่านอีเธอเรียมก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนอาจแซงหน้าบิทคอยน์ได้ในอนาคต