ชัดเจนว่าถ้าไล่เฉดสีทางการเมือง พรรคใหม่ของเอนก และสุเทพ ก็จัดว่าตั้งใจพิฆาต 'พรรคอนาคตใหม่' เข้าอย่างจัง!!
นักรัฐศาสตร์รายหนึ่ง พูดขึ้นกับผู้เขียนระหว่างทานข้าว หลังจบการแถลงข่าวตั้งพรรคใหม่ ของ “ลุงกำนัน-อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน” ว่า “มีเสื้อเหลือง จึงมีเสื้อแดง – มีเสื้อแดง จึงมี กปปส. – มีพรรคอนาคตใหม่ จึงมีพรรครวมพลังประชาชาติไทย” ฉากทรรศน์ทางการเมืองไทยนับจากนี้ จึงน่า “จับตา” จับตาดู การปะทะของ “ชุดความคิด”
บทสัมภาษณ์และสุนทรพจน์ทางการเมืองของ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ที่ได้ยินเมื่อวานนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดำเนินไปด้วยความคล้ายของ “ภาษาทางการเมือง” จนอาจเรียกว่าเป็นการเปิดตัว “พรรคอนาคตใหม่สาขาสอง” ราวกับผู้ร่างบทสุนทรพจน์ให้เอนก คือ “ปิยบุตร แสงกนกกุล”
มี “คำสำคัญ” ในทางการเมือง “คล้ายกัน” ไปหมด
ขนมาตั้งแต่ “การเมืองใหม่” “ทำให้พรรคให้เป็น สถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง” “ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง” “ประชาชนเป็นผู้อาสา ผู้ร่วมลงทุน ลงแรง ร่วมตัดสินใจ และร่วมลงมือทำ มิใช่แค่มีส่วนร่วมเพียงผิวเผิน”
พรรคใหม่ป้ายแดงนี้ จะเป็น “พรรคของทุกคน ให้ทุกคนมีความหมาย สมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของ ให้ผู้บริหารพรรคมาจากการโหวตของสมาชิกในที่ประชุมสมัชชาพรรคในแบบที่ไม่มีการจัดตั้ง หรือสั่งการ” “ไม่มีนายทุนพรรค ไม่มีใครมีอิทธิพลในการกำหนดตำแหน่งบริหาร” “สมาชิกพรรคจะต้องช่วยกันเสียสละด้วยการอุทิศเงินให้กับพรรคปีละ 365 บาท ไม่ใช่แค่ร้อยบาท ที่ก็ไม่แพงและไม่ถูก เฉลี่ยก็วันละบาท”
ส่วนการจัดทำบัญชีรายชื่อ “ปาร์ตี้ลิสต์” ก็จะยึดหลัก “ความเท่าเทียมทางเพศ อาจจัดสลับชายหญิงไปเลย” “ให้โอกาสกลุ่มต่างๆ มาอยู่ในบัญชีรายชื่อ เช่น ชาวเขาเผ่าต่างๆ, คนพิการ, ผู้ด้อยโอกาสต่างๆ รวมถึงลูกหลานคนต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทย เช่น ลูกชาวอินเดีย, ชาวตะวันตก,คนผิวดำ” ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้พรรค “เป็นประชาชาติไทยจริงๆ”
นี่คือ “ภาษาทางการเมือง” ที่มีจุดร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ เหมือนที่ปิยบุตรได้นำเสนอไปครั้งแล้วครั้งเล่าหลังการตั้งพรรค “พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือคนไม่กี่คนเป็นเจ้าของ เป็นพรรคการเมืองที่สมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน” “ความเป็นเจ้าของของคนทุกคนแสดงออกผ่านการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรค ทั้งในแง่การระดมทุน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ”
แม้จะมี “จุดร่วม” แต่ดูเหมือนมี “จุดต่าง” อย่างสำคัญที่ต้องทบทวน นั่นคือ สิ่งที่เอนก เรียกว่า “จิตวิญญาณพรรค-อุดมการณ์พรรค“ จุดนี้เองที่ดูเหมือนจะเป็นความพยายามในการไล่เฉดสีทางการเมืองใหม่ เป็น “การเมืองใหม่” ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมไทย มาสู้กับ “การเมืองใหม่ – อนาคตใหม่” ที่พึ่งถูกปลุกขึ้นมาเมื่อต้นปี
เมื่อทบทวนดู “จิตวิญญาณ-อุดมการณ์ 7 ข้อของพรรค” ซึ่งจะเป็น “เข็มทิศ” ชี้ทิศทางเดินของพรรคจะพบว่า 4 ใน 7 ข้อ น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เป็นการ “เปิดหน้า-เปิดตัว” ชัดเจน
ทั้ง “มีอุดมการณ์ที่จะเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยที่จะน้อมนำเอาพระราชปรีชาญาณ พระบรมเดชานุภาพ และพระบรมราชวินิจฉัย มาเป็นหลักชัยในการนำพาประเทศอยู่เสมอ”
ทั้ง มุ่งจะทำให้ “ประชาธิปไตย” ยึดหลัก “ธรรมาธิปไตย” “ธรรมาภิบาล” “ความดีความงามความถูกต้อง” – ประชาธิปไตย “จะไม่ใช่แค่ประชาธิปไตยที่มีเสียงข้างมากเท่านั้น”
ทั้ง อยากให้คนไทย “รักชาติ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย ...ภูมิใจในสถาบัน สืบทอดความคิดและแบบแผนที่ดีงามของบรรพชน รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรม ขนบประเพณีทางการเมืองการปกครองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของไทย และจะนำมาเป็นพื้นฐานของการปฏิรูป โดยการปฏิรูปต้องไม่ฉีกขาดจากความคิด แบบแผนจารีตที่ดีงามของไทย”
ทั้ง ประกาศชัดเจนว่า “น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชามาเป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้ตลาดเป็นเพียงเครื่องมือ”
เอนก ให้สัมภาษณ์กับ “ไทยโพสต์” ก่อนวันเปิดตัวพรรค โดยย้ำว่า “เราไม่เหมือนบางพรรคเพราะเราภูมิใจในความเป็นไทย ภูมิใจในอดีตที่ดีงาม และเรารู้ด้วยว่าขนบธรรมเนียมประเพณีการปกครองของเรามีเอกลักษณ์เฉพาะ เราก็จะนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานของการปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิรูปจากความว่างเปล่าหรือปฏิรูปตามทฤษฎี แต่ปฏิรูปจากข้อดีของเรา”
สอดคล้องกับสุนทรพจน์แรกทางการเมืองของเอนกหลังตั้งพรรค ที่ ม.รังสิต เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า “การทำการเมืองเที่ยวนี้ไม่มีแพ้ เพราะเป็นการทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อบ้านเมือง และเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน สถาบันดั้งเดิมเป็นของสูงส่ง ขนบธรรมเนียมเป็นสิ่งดีงาม ดังนั้น เราจะปฏิรูป ไม่ปฏิวัติ ไม่โค่นล้ม ไม่ทำการเมืองด้วยความชิงชัง มีแต่จะทำให้เกิดการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี"
“เราจะเป็นพรรคของพลเมือง แต่พลเมืองนี้จะต้องเป็นพสกนิกรที่รักภักดีและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะต้องปกป้องสิ่งดีงามทั้งหมดที่บรรพชนไทยได้ทำเอาไว้ อย่าให้ใครมากวาดมันทิ้ง...ข้ามศพพวกเราไป ข้ามศพพวกเราไป”
เอนก ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ผมคิดว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย เมื่อตั้งขึ้นมาแล้วก็จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง อีกพาหนะหนึ่งที่จะทำ จะเป็นช่องทางให้บ้านเมืองได้ใช้...มีพาหนะมากๆ ก็ดีกว่ามีน้อย ผมก็ทำการเมืองเที่ยวนี้ด้วยความสบายใจ เพราะเป็นการเมืองแบบตรงไปตรงมา”
ถ้าจุดยืนของพรรคคือเป็น “พาหนะทางอุดมการณ์-ชุดความคิด” ก็น่าขบคิดต่อ
หน้าม่านคือ พรรคการเมืองที่ยึดหลักการแบบการเมืองใหม่ หวังชนะเลือกตั้ง(จริง) แต่ หลังม่านคือ ขบวนการ ขวาพิฆาต อนาคตใหม่ – ใช่หรือไม่ใช่ การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง, “วิ��าทะ” และแต่ละก้าวของลุงกำนัน รวมถึงอดีตหัวหน้าพรรคมหาชน ทั้งโทรโข่งมืออาชีพอีกหลายราย จะเป็น “คำตอบ”
เหมือนที่เอนก แสดงจุดยืนในประเด็นเรื่องการเสนอฉีกรัฐธรรมนูญของบางพรรคการเมือง “รธน.ฉบับปัจจุบันที่อาจร่างโดยคนที่บางคนไม่ชอบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผ่านประชามติมาแล้วก็ต้องคิดให้รอบคอบ”
เสียงของเอนก หลังจากนี้ จึงอาจถูกใช้เพื่อเป็น “คำเตือนทางการเมือง” ให้ “ธนาธร-ปิยบุตร” ว่า “อย่าล้ำเส้น”
พรรคใหม่ของสุเทพ และเอนก ยังไม่ได้ “ปักหมุด” “ผูกมัด” ตัวเองว่าเป็น “กองหนุนของลุงตู่” เหมือนที่เอนก ให้สัมภาษณ์ว่า “คำถามที่ว่าพรรคจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่ เป็นคำถามจากกระบวนทัศน์เดิม ผมก็เข้าใจที่ต้องถามแบบนี้ แต่หนทางข้างหน้ายังมีอะไรอีกเยอะ ถ้าเราไปผูกมัดอะไรไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์”
จะอ่านว่านี่คือพรรคการเมืองที่หวังชัยชนะในการเลือกตั้ง เพื่อไปสืบสานอำนาจ คสช.ต่อก็ได้ – หรือจะอ่านกลับกันก็ได้ ว่า “ดีลการเมือง” นี้ “ยังอีกยาว-รอเคาะโดยผู้มีบารมี”!!
จะอ่านว่านี่คือพรรคการเมือง ที่ตั้งขึ้นเพื่อตั้งใจ พิฆาต พรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ – หรือพวกเขามาเพราะการใดใหญ่กว่านั้น!!