วันที่ 19 เม.ย. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึง การรับประทานอาหารของพรรคร่วมรัฐบาลว่า การรับประทานอาหารของพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่า กำหนดการจะนัดเมื่อไหร่ ซึ่งต้องเป็นเจ้าภาพจะต้องนัดมา
เมื่อถามว่า จะต้องมีการนัดหมายใช่หรือไม่ เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงจำเป็นจะต้องหารือเรื่องการทำงาน เศรษฐา รีบตอบสวนกลับทันทีว่า "โอ๊ย อย่าเอามาเกี่ยวข้องกันทั้ง 2 เรื่อง ไม่เกี่ยวกัน เมื่อวานก็พูดคุยกันดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรในพรรคร่วมรัฐบาล ก็เข้าใจว่าครั้งแรกพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งที่สอง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นเจ้าภาพ ซึ่งหากดูจากจำนวน สส.ต่อไปก็จะเป็นพรรคพลังพลังประชารัฐ ซึ่งก็ต้องไปถาม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยเรื่องการทำงานกันหรือไม่ เศรษฐา กล่าวว่า มีการพูดคุยกันมาตลอด
ส่วนต้องมีการนัดหารืออะไรกันเป็นพิเศษหรือไม่ เศรษฐา กล่าวว่า พูดคุยกันมาตลอดเวลาอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า กระแสข่าวการปรับ ครม. ส่งผลต่อแรงกระเพื่อมส่งผลต่อการทำงานหรือไม่ เศรษฐา ย้อนถามกลับว่า แรงกระเพื่อมนั้นคืออะไร อย่างที่ตนให้สัมภาษณ์ไปก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็มีการวิ่งเต้น มีการสอบถามข่าว ตนก็เลยบอกว่าภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการทำงานต่อไป
เมื่อถามต่อว่า จะลดแรงกระเพื่อมให้กับบรรดารัฐมนตรีที่หวั่นไหว หลังจากที่มีรายชื่อออกมาได้หรือไม่ เศรษฐา ระบุว่า ตรงนี้คือใคร
เมื่อถามต่อว่า ที่นายกฯออกมาระบุว่าภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการทำงาน นายกรัฐมนตรี จึงตอบต่ออีกว่า ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการทำงาน ส่วนจะลดแรงหวั่นไหวได้อย่างไรตนไม่ทราบ ผู้สื่อข่าวจึงกล่าวต่อว่า ทำให้รัฐมนตรีทำงานมากขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ก็แล้วแต่พวกท่านต้องตั้งข้อสังเกตกันเอง แต่เรื่องนี้อย่างที่บอก ผู้นำรัฐบาล เรื่องที่ผมสนใจมากที่สุดคือผลงาน
ส่วนที่ ไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเ เกษตรและสหกรณ์ อยากให้พรรคเพื่อไทยยึดดูกระทรวงเกษตรฯไว้ เนื่องจากยังมีอีกหลายนโยบายต้องเข้าไปดูในพื้นที่ภาคอีสาน เศรษฐา กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเลข 141 กับ 500 ทุกคนก็อยากได้หมด
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอส่งตัว พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเตรียมลงโทษทางวินัย หลังสำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งไปช่วยราชการ
โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดนย้ายมาทำเนียบรัฐบาล ระหว่างนั้นได้มีการตรวจสอบ โดย รักษาการ ผบ.ตร. มาถามและพูดคุยกันให้ส่งตัวกลับ เพื่อให้ตนเองรับทราบและดำเนินการต่อ
ส่วนการโยกย้ายในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผลของคณะกรรมการตรวจสอบหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตรวจสอบก็ตรวจสอบไป มีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องตรวจสอบ ซึ่งทางคณะกรรมการ ก็ยังต้องตรวจสอบกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ควบคู่ไปด้วย แต่กรณีดังกล่าวเป็นคนกรณีกัน ซึ่งตนเองไม่อยากไปกดดันให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครไปก้าวก่ายหรือเร่งรัดอะไร ตนเองมั่นใจในความสามารถและมืออาชีพของคณะกรรมการทั้ง 3 ท่าน เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจับตาอยู่
ส่วนการให้ออกไว้ก่อน เพราะกลัวเข้าไปยุ่งกับกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตามที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. บอกเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และการตรวจสอบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ส่วนที่มีการเปรียบเทียบกับกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ตอนนี้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า แต่ละคนก็ต่างกันไป ตนเองมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความเป็นธรรมกับทุกท่าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในการเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ของคณะนายกฯ ครั้งนี้ มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ,ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีด้วย โดยนายก ได้พูดคุยกับทั้ง 2 คนอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะเข้าไปในห้องพักรับรอง