วันที่ 25 เม.ย. ที่พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะดูแลรับผิดชอบเลือกตั้งภาคกลางและตะวันออก ร่วมกันแถลงเปิดตัว ‘คณิศ แสงสุพรรณ’ อดีตประธานที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมทีมนโยบายเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยินดีที่ คณิศ ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการอีอีซีได้มาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจะมาพัฒนาเรื่อง 14 จังหวัดภาคใต้ให้มีความเจริญก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ฝั่งอันดามัน และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเจริญทัดเทียมอารยะประเทศ ทุกคนรู้จักคณิศดี จะมาอยู่ในทีมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คณิศตั้งใจจะมาทำงานให้ แต่ทั้งหมดที่จะทำได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับพรรคพลังประชารัฐจะต้องได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีตนเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างจะสำเร็จด้วยดี ฝากประชาชนทั่วไปถ้าอยากเห็นภาคใต้มีความเจริญ จงเลือกพรรคพลังประชารัฐ
ด้าน คณิศ กล่าวว่า ขอบคุณ พล.อ.ประวิตรที่ตนเรียกติดปากว่าพี่ป้อม พล.อ.ประวิตรเป็นคนทำเรื่องน้ำในอีอีซี ตนทำกับท่านมาตลอด 4 ปี โดยทำภาพรวมเรื่องน้ำ 30 โครงการ ซึ่งทำสำเร็จไปแล้ว 20 โครงการ การันตีปัญหาน้ำในอีอีซีจบแล้ว พล.อ.ประวิตรเป็นคนรับฟังข้อมูล กล้าตัดสินใจ โครงการนี้ไม่ใช่โครงการง่ายๆ แต่ทำให้ปัญหาน้ำผ่านพ้นไปได้ ถือเป็นประโยชน์มาก
คณิศ กล่าวว่า ตนได้ลาออกจากประธานที่ปรึกษาพิเศษอีอีซมาเป็นสมาชิกพรรค พปชร.เมื่อวันที่ 24 เม.ย. เพื่อมาช่วยพล.อ.ประวิตร เพื่อผลักดันความฝันของ พล.อ.ประวิตรที่จะสร้างประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่ ตนทำงานอีอีซีมา 6 ปี เป็นเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลที่ดำเนินไปอย่างประสบความสำเร็จ ได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี คาดว่า เศรษฐกิจอีอีซีจะขยายตัวปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7% จะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้า แต่ขอให้ทีมที่มาทำอีอีซีต่อซื่อสัตย์และไม่คดโกง ทำตามแผนที่วางไว้
คณิศ กล่าวว่า หลายเดือนก่อน พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับ ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียที่ กทม. ได้มีการหารือกันเรื่องชายแดนภาคใต้ของไทยและภาคเหนือของมาเลเซีย เพื่อจะพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคได้อย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตรจึงให้โจทย์ตนมาดูว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนอย่างไร จึงเป็นที่มาของโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนภาคใต้
ซึ่งที่ได้นำเสนอกับ พล.อ.ประวิตร ท่านเห็นดีด้วยและรับเป็นนโยบายของพรรค นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าสู่ พปชร. เพราะต้องการอาศัยความเป็นผู้นำที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งของ พล.อ.ประวิตร ช่วยก้าวความขัดแย้งทั้งเรื่องการระหว่างประเทศ สร้างความปรองดอง และความเข้าใจระหว่างหน่วยงานต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้ให้สำเร็จ
คณิศ กล่าวว่า สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้ มุ่งหวังให้เป็นความร่วมมือของทั้งสองประเทศ จะมีการจัดทำแผนเพื่อเชื่อมโยงเขตพิเศษทางเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน ในฝั่งไทย โครงการดังกล่าว จะเชื่อมต่อ 5 จังหวัด คือ สงขลา ยะลา สตูล ปัตตานี นราธิวาส รวมเป็นเขตพัฒนาพิเศษแบบอีอีซี โดยมีอย่างน้อย 6 โครงการเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ
เช่น 1.ยกระดับรายได้เกษตรกร ด้วยการแปรรูปพืชเกษตรให้มีคุณภาพ อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่มุ่งสู่ตลาดโลก 2.พัฒนาการท่องเที่ยว ทั้งฝั่งอ่าวไทย ทำตากใบโมเดล ฝั่งอันดามัน ทำสตูลโมเดล ผ่านโครงข่ายเรือและเครื่องบินท่องเที่ยว เพื่อนำรายได้สู่พื้นที่ 3.มีการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น Motorway และ Landbridge เชื่อมทั้ง 2 ฝั่งทะเล 4.สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดข้างทางของ Motorway เช่น ศูนย์กลางอาหารระดับนานาชาติ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน ยา โลจิสติกส์ 5.ขยายความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองประเทศ 6.ใช้ธนาคารอิสลามเป็นธนาคารหลักของเขตพัฒนาพิเศษ
คณิศ กล่าวว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้มุ่งหวังจะทำให้พี่น้อง 8 ล้านคนใน 14 จังหวัดชายแดนใต้กลับมามั่งคั่ง หากเลือก พปชร. นอกจากจะก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว จะก้าวพ้นความยากจน เขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้ที่ พปชร.นำเสนอ จะช่วยทำให้ลูกหลานชาวใต้เติบโตในพื้นที่ มีงาน มีรายได้สูง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ได้ให้การสนับสนุน และร่วมผลักดันนโยบา
อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.อ.ประวิตร ว่า ในช่วงนี้มีการหาเสียงที่ใช้กลวิธีโดยการบอกชื่อพรรคแต่คนละเบอร์จะมีวิธีการทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราก็อย่าไปเชื่อ ไม่มีวิธีการอื่นก็อย่าไปเชื่อ เพราะพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 พร้อมทั้งขอให้ผู้สื่อข่าวให้ชี้แจงให้กับประชาชนรู้ว่า พรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 ไม่ใช่เบอร์อื่น
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคอีสาน พล.อ.ประวิตร ถามกลับผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้ แล้วคุณนิยมหรือเปล่าล่ะ อยู่ที่พวกคุณ
ต่อมา สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค พร้อมด้วย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงข่าวประเด็น "ปัญหาไฟฟ้าของประเทศไทย"
โดย มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวสรุปถึงที่มาและปัญหาค่าไฟฟ้าแพงว่า มาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1) การสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น ไฟฟ้าสำรองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงไฟฟ้าแม้ไม่ผลิตไฟ ประชาชนก็ต้องจ่ายเงิน เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย (AP) 2) โรงไฟฟ้าใหม่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง แต่ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทยของรัฐบาล ทำให้ปริมาณก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน
และ3) การปิดโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ LNG มีราคาแพงเข้ามาในระบบ หากเป็นเอกชนก็ต้องจ่ายค่า AP เป็นก้อนใหญ่ชดเชยให้ ทั้งที่บางแห่งผลิตไฟได้ถูกกว่า ทั้งนี้ ตนขอแจกแจงให้เห็นชัดๆ ถึงปัญหาในแต่ละส่วน ดังนี้
1 ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น
1.1 ไฟฟ้าสำรองปี 2557 ที่ประยุทธ์ปฏิวัติ 30% ปี 2565 หลังจากประยุทธ์เป็นนายกฯ มาแปดปี ขึ้นเป็น 70%
1.2 รัฐทำสัญญากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบ Take or Pay คือ แม้ไม่ใช้ไฟประชาชนก็ต้องจ่าย เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ทั้งค่าก่อสร้าง ค่าจ้างคน นำมารวมเป็นค่าไฟฐาน รัฐควรจะใช้เงื่อนไขนี้เฉพาะแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เงื่อนไขนี้ผิดพลาดมาหลายรัฐบาล แต่พลเอกประยุทธ์ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไม่แก้ไข
2. ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทย
2.1 การเปลี่ยนสัญญาสัมปทานในแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต เกิดความผิดพลาดล่าช้า ทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน ส่งผลกระทบต่อค่าไฟโดยตรง
2.2 กำหนดเงื่อนให้บริษัทผูกขาดท่อก๊าซกลางอ่าวไทยเป็นผู้ได้สิทธิ์รับซื้อก๊าซของชาติที่ปากหลุมผลิตแต่ผู้เดียวเพื่อบวกกำไรแล้วจึงขายให้ กฟผ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในตลาดหลักทรพย์ที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ดังนั้น ควรจัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติเพื่อเป็นผู้ใช้สิทธิ์รับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียวเพื่อขายก๊าซถูกให้ กฟผ
3 เลือกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงโดยไม่จำเป็น
3.1 กฟผ. เข้าไปรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. อย่างมาก ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น เพราะใกล้เลือกตั้งจึงไม่กล้าขึ้นค่าไฟจึงให้ กฟผ. แบกรับค่าไฟที่สูงขึ้นแทนประชาชนไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บจากประชาชนผ่านค่า ft ในภายหลัง ขณะนี้ กฟผ. มีหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ในระดับ 150,000 ล้านบาท
3.2 รัฐบาลประยุทธ์ควรจะสั่งให้ กฟผ. เลิกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิง เปลี่ยนไปรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประชาชนแทน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลงมาก
ด้าน ธีระชัย กล่าวว่า อีกหนึ่งสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศแพง เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของรัฐบาลไม่ได้แก้แบบบูรณาการ และยังเป็นการแก้ไม่ตรงจุด ขณะที่ แนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของนายกฯ ประยุทธ์ในปัจจุบัน เป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุนมากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมอย่างต่อเนื่องกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งตนจะขอชี้ให้เห็นปัญหาและความล้มเหลว ดังนี้
1.กำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ดังนั้น การกำหนดเพดานราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ก็ย่อมจะต้องควักกระเป๋าออกมาจากฝ่ายรัฐเท่านั้น จึงเป็นนโยบายที่เน้นการปกป้องผลกำไรของนายทุนพลังงานเป็นหลัก
2.ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านสำหรับผลิตไฟฟ้า และขายเข้าระบบเพื่อสร้างรายได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง เพราะการติดตั้งบังคับให้ต้องขออนุญาตถึงสามหน่วยงาน มีการกำหนดปริมาณที่จะรับซื้อไฟฟ้าแบบนี้ไว้จำกัดมาก และรับซื้อในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าราคาที่ครัวเรือนซื้อไฟฟ้าจากรัฐบาลมาก
“รัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่ารัฐบาลได้งเปิดให้มีการประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เอกชนรายใหญ่อีกถึง 3,660 เมกะวัตต์ ทั้งที่ควรรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อลกรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน” นายธีระชัย กล่าว
นอกจากนี้ ธีระชัย ยังตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลกรณีที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการ มีการอนุมัติผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จำนวน 175 ราย 5,203 เมกะวัตต์ ในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งตนมีข้อสงสัยต่อกรณีดังกล่าวคือ
1. การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่รัฐบาลรักษาการพึงกระทำหรือไม่ 2. เป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาไม่ถือเป็นการประมูลแต่เป็นการคัดเลือกจากรายชื่อที่ยื่นเข้ามา และ3.เป็นการทิ้งทวนเพื่อเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ ซึ่งตนมีความเห็นว่าทั้งพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการและนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการจะต้องมีคำตอบให้กับประชาชน
ขณะที่ สนธิรัตน์ กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงแบบบูรณาการและตอบโจทย์ ซึ่งพรรคมองว่าแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการให้ครอบคลุม 4 แนวทาง เพื่อให้เป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ได้แก่
1. ยุติปัญหาโรงไฟฟ้าล้นเกิน
1.1 ไม่ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ทุกรายจนกว่าไฟฟ้าสำรองอยู่ในระดับ 15%
1.2 ตรวจสอบการประมูลที่ผ่านมาว่า มีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น การล๊อคสเปกในการประมูล เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน
2. ลดการใช้ LNG เพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า
2.1 เร่งกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยโดยเฉพาะแหล่งบงกชและเอราวัณ ให้กลับมาเป็นปกติ จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ 1000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 70%
2.2 เจรจาชอยืมก๊าซในแหล่งพัฒนาร่วมไทย มาเลเซีย ที่แบ่งกันคนละครึ่ง ให้ไทยเป็นผู้ใช้ก๊าซเป็นเวลา 1-2 ปี ในช่วงปรับโครงสร้างพลังงานไทยทั้งระบบ ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 20-30%
2.4 ห้ามมิให้ กฟผ. รับซื้อไฟจากเอกชนในราคาสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. บวกอีก 10% โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิงโดยจะได้รับเพียงเงินค่าความพร้อมจ่ายเท่านั้น โดยให้ กฟผ ซื้อจากแหล่งที่มีราคาถูก เช่น โรงไฟฟ้าจากชุมชนและโซล่าร์ประชาชนที่มีราคาถูกกว่าแทน
2.5 จัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติที่รัฐถือหุ้น 100% ทำหน้าที่จัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่จะทยอยหมดอายุสัมปทาน และต้องตกเป็นของรัฐ โดยให้องค์กรเป็นผู้ทรงสิทธิ์ซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียวและเป็นผู้จัดสรรสิทธิ์การใช้ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทย โดยกำหนดราคาขายเป็นขั้นบันได ราคาต่ำสุดจะให้สิทธิ์แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการผลิตก๊าซหุงต้มสำหรับประชาชน ราคาบันไดขึ้นต่อไปหากมีก๊าซเหลือจึงจะให้สิทธิ์แก่ภาคธุรกิจทั้งปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้าของเอกชน
3. เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้ามาในระบบแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG
3.1 สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง โดยให้ครัวเรือนขายไฟฟ้าได้ในราคาเดียวกันกับราคาที่ซื้อไฟฟ้า ตามหลักของการหักกลบลบหน่วย Net Metering ค่าไฟต่ำสุดเหลือ 0 บาท
3.2 ให้ อบต. และเทศบาล ร่วมกับ กฟผ กฟภ หรือเอกชน ทำโซล่าฟาร์ม โดยผลกำไรส่วนหนึ่งเป็นของ อบต. และอีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะนำมาเฉลี่ยให้กับครัวเรือนแต่ละหลังเพื่อหักออกจากค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ ช่วยลดผลกระทบจากค่าไฟที่สูงขึ้น
3.3 ให้กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐเพื่อให้เป็นผู้ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ บนหลังคาบ้านและโครงการโซล่าร์ชุมชน
4. ยุติปัญหาค่า ft แพง
4.1 การปรับลดค่า ft ให้นำหนี้สินของ กฟผ ที่จะเรียกเก็บผ่านค่า ft มาออกเป็นพันธบัตร “ไฟฟ้าประชารัฐ” อายุ 5-15 ปี จะทำให้ภาระหนี้สินที่ต้องเรียกจากประชาชนลดลงจาก 1.5 แสนล้านบาทเหลือปีละ 1.5 หมื่นล้าน โดยค่า ft ในส่วนหนี้สินนี้จะเหลือต่ำกว่า 10 สต โดยรักษาให้ ft รวมอยู่ในระดับ 25 สต.แต่มีเพดานไม่เกิน 50 สต.ในภาวะที่ราคาเขื้อเพลิงผันผวน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายที่ กฟผ เสนอค่า ft ในเดือน พ.ค.66 ที่ 293.60 สต.โดยจะต้องทำพร้อมปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าข้างต้นเพื่อไม่ให้หนี้สินกลับมาเป็นภาระอีก
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยกับสื่อมวลชนภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมเคาะนโยบายเร่งด่วนช่วยเหลือเกษตรกรครอบครัวละ 30,000 บาทแล้ว โดยงบประมาณอยู่ในกรอบที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเตรียมตัวลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงภาคใต้ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำไมต้องเตรียมตัวก็ลงทุกพื้นที่อยู่แล้ว ทั้งนี้ก่อนที่รถจะออก พเอกประวิตรได้เปิดกระจกเรียกหานายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมถามว่า มีอะไรหรือเปล่า ซึ่งนายวิรัช ตอบว่า ไม่มีครับ กำลังเตรียมเรื่องเรือ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าฝึกแหลงใต้แล้วหรือไม่ พลเอกประวิตร ไม่ตอบ ปิดกระจกพร้อมออกรถจากพรรคพลังประชารัฐทันที