วันที่ 9 ก.พ. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สระบุรีและ จ.ลพบุรี โดยจุดแรกนายกฯ นั่งรถจากกรุงเทพฯ มาที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ตำบลหนองยาว อำเภอเมืองสระบุรี เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาชลประทานในการทำเกษตรปลูกข้าวนาปรัง
เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงได้ทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ พร้อมฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ ก่อนเดินสำรวจพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งระหว่างที่นายกฯ เดินดูบริเวณคลองไส้ไก่ ซึ่งเป็นคลองส่งน้ำขนาดเล็กเพื่อเข้าไปยังพื้นที่เกษตรกรรม นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามการบริหารจัดการน้ำจากเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทาน ที่จัดสรรให้กับเกษตรกร ซึ่งทางกรมชลประทานได้ชี้แจงและรายงานว่า ได้จัดสรรและแบ่งพื้นที่ในการส่งน้ำให้กับเกษตรกรอย่าวเพียงพอ โดยเฉพาะช่วงฤดูการทำนานอกฤดูกาล ทำให้ไม่มีปัญหาในการเพาะปลูก ทำให้นายกรัฐมนตรีพอใจอย่างมาก
จากนั้น นายกฯ กล่าวกับสื่อมวลชนว่า จากการที่ได้รับสั่งการรายงานและบรรยายสรุปก็ถือว่าดี ราคาข้าวปัจจุบันกิโลกรัมละ 11 บาท คิดเป็นตันละ 11,000 บาท ค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จแล้วอยู่ที่ 5,000 บาท ทั้งนี้เกษตรกรได้ร้องขอมาว่าค่าปุ๋ยปัจจุบันแพงไปสักนิด ถ้าเป็นช่วงที่ราคาพืชผลดีก็พอไหว แต่ก็ต้องระวังในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเดี๋ยวรัฐบาลก็จะไปดูในเรื่องของราคาของปุ๋ยต่างๆ
“เพราะฉะนั้นรายได้ที่เหลือจริงๆ ก็อยู่ที่ประมาณ 6,000 บาทต่อตัน ก็ถือว่าเป็นราคาที่ใช้ได้ ในฤดูกาลนี้ต่อราคาผลผลิตตันละ 11,000 บาท แต่ผมจะพยายามหาตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำราคาให้สูงมากยิ่งขึ้น”
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รายจ่ายที่สูงอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของค่าไฟ ซึ่งได้มอบหมายให้กรมชลประทาน ศึกษาในเรื่องของโซล่าเซลล์ ซึ่งตรงนี้ถือว่าสำคัญ ซึ่งทั้งหมดก็ดีดูจากสีหน้าและดวงตาของเกษตรกร ก็มีความสุขดีจากราคาข้าวในปัจจุบันนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของน้ำในการใช้สำหรับเกษตรกรมีเพียงพอในการเพาะปลูกใช่หรือไม่ โดยเฉพาะการปลูกข้าวนอกฤดูกาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ได้แน่นอน เพราะราคาข้าวดีก็อยากให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ตรงนี้เข้าใจได้และหน้าที่ของกรมชลฯ จากการที่ได้ฟังรายงานและดูในรายละเอียดต่างๆแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายก็เข้าใจดีและเข้าใจถึงความต้องการของเกษตรกร ทำหน้าที่ตอบสนองให้กับประชาชนได้อย่างดีมาก ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณในเรื่องนี้ด้วย
ขณะเดียวกันช่วงหนึ่งระหว่างเดินทักทายประชาชน มีชาวบ้านขอให้นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาเรื่องน้ำ เพื่อจะได้เชื่อมโยงไปถึงการแก้ปัญหานี้นอกระบบ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็รับปากและบอกว่า เป็นหนึ่งนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว พร้อมขอให้ชาวบ้านช่วยลดเรื่องการเผาเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วย
สำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี จุดนี้เพื่อสั่งการให้บริหารจัดการน้ำให้จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท - จังหวัดอ่างทอง - จังหวัดลพบุรี - จังหวัดสิงห์บุรี - จังหวัดสระบุรี - จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากปัจจุบันมีเกษตรทำนาปรังเกือบ 6 ล้านไร่ จากเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดให้ทำเพียง 3 ล้านไร่ แต่เมื่อข้าวราคาดีทำให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวมากขึ้น ซึ่งหากไม่บริหารจัดการน้ำจะทำให้พื้นที่นานอกเขตชลประทานมีความเสี่ยงยืนต้นตายในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง และทำให้เกษตรต้องไปขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ฉะนั้นการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจะเป็นการบริหารงานเชิงรุก เพื่อป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นด้วย
ทั้งนี้ เวลา 15.15 น. นายกรัฐมนตรี จะเดินทางต่อไปตรวจติดตามโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมคลองลำสนธิ พร้อมรับฟังปัญหาในพื้นที่ชัยบาดาล ณ วัดสิงหาราม จังหวัดลพบุรี
ก่อนที่ช่วงเย็นเวลา 18.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปชมขบวนประวัติศาสตร์ (ขบวนนบพระ) ที่เทวะสถานปรางค์แขก อำเภอเมืองลพบุรี ก่อนเดินทางต่อไปเปิดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร