วันที่ 29 พ.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงการนัดหารือของพรรคร่วมรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ ที่พรรคประชาชาติ ว่า ยังไม่ทราบประเด็นที่จะหารือกัน เนื่องจากพรรคก้าวไกล ประสานมาทางคณะเจรจา แต่คาดว่า น่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกันของ 8 พรรคร่วม ส่วนปัญหาต่างๆระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะเรื่องของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เบื้องต้น ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เนื่องจากว่าเรามีคณะเจรจาที่แต่ละพรรคมอบหมาย ซึ่งคณะเจรจาอาจจะมีการพบปะพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ส่วนที่เป็นทางการจะมีการพบปะพูดคุยกันในวันพรุ่งนี้
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเราต้องมองในมิติของประชาธิปไตย เป็นสิทธิ์เสรีภาพที่แต่ละฝ่ายจะแสดงความเห็น แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย เราวางกรอบที่ชัดเจน เราพูดคุยผ่านคณะเจรจา จึงต้องยึดจากคณะเจรจา ดังนั้น ความเห็นที่อยู่นอกเหนือคณะเจรจา จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจรจา และมองว่าเป็นประเด็นภายนอกเท่านั้น มิเช่นนั้นจะหลงประเด็น ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย เราไม่ได้มีความเห็นที่ขัดแย้งกัน มีแต่เพียงสื่อมวลชนที่เห็นว่าเป็นประเด็นขัดแย้งก็นำเสนอ เรายืนยันว่าแบบนั้นไม่ใช่ข้อขัดแย้ง ถือเป็นความเห็นต่างตามระบอบประชาธิปไตย
"ผมพูดเสมอเลยว่า ก้าวไกลกับเพื่อไทย ในวงของเราต้องมาช่วยกัน หาความเห็นร่วมในความเห็นร่วมในความเห็นต่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นหน้าที่ของเรา"
เมื่อถามว่า มีการพูดคุยเรื่องการจัดสรรตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า การพูดคุยอย่างเป็นทางการ ยังไม่มี ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของ MOU แต่การทำงานร่วมกันมันปฏิเสธเรื่องของการจัดสรรตำแหน่งไม่ได้ แต่เราก็ระมัดระวังอยากให้ประชาชนมองว่า เราแบ่งงานกันทำตามภาระหน้าที่ ที่เหมาะสม ตามนโยบายของแต่ละพรรคไม่ใช่ออกไปในลักษณะแย่งงานกันทำ และวันพรุ่งนี้ ไม่น่าจะมีการพูดคุยเรื่องนี้
เมื่อถามว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทย ยังอยากได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร อยู่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คณะเจรจากำลังพูดคุยกัน ซึ่งตนในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคและมีชื่อปรากฏ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่อยากแสดงความคิดเห็นตอนนี้ เป็นหน้าที่ของคณะเจรจาที่จะพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล และตนเคยย้ำหลายครั้ง เป้าหมายของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยคือให้ความสำคัญกับอาณัติของประชาชน 25 ล้านเสียงเขามอบให้เรามา เปรียบเสมือนการมัดทั้ง 2 พรรคให้ทำงานร่วมกัน ต้องยึดตรงนั้นเป็นหลักเพราะประชาชนต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย ยุติการสืบทอดอำนาจของอีกฝ่าย จึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก หากยึดหลักตรงนี้เชื่อว่า จะสามารถพูดคุยทำความเข้าใจกันได้ง่าย
"ผมมั่นใจว่ามันคายไม่ได้ เพราะเรายึด 25 ล้านเสียงเป็นหลัก ยึดเป้าหมายฝ่ายประชาธิปไตยเป็นหลัก ตรงนี้ยากที่จะคลายจากกันได้ ไม่ต้องเอาอะไรมามัด เพราะประชาชนมัดเราอยู่แล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแตกแยกออกไป ก็จะทำให้ความหวังของพี่น้องประชาชนเสียหายไป มอบจะปฏิเสธอำนาจที่มอบจากประชาชนไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้รับมอบอำนาจ ต้องตรงไปตรงมาอยู่แล้ว"
นพ.ชลน่าน ยังไม่ขอตอบว่า พร้อมจะทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่หากพรรคร่วมมีมติเสนอชื่อ เพราะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาจะมีทางออกอย่างไร ส่วนที่มีการเสนอให้ฟรีโหวตในการเลือกประธานสภาฯ ตนมอง ใครๆก็เสนอได้ แต่คณะเจรจาจะใช้แนวทางนี้หรือไม่ต้องไปฟังเขาคุยกัน ปัจจัยแวดล้อมไม่เอา เพราะจะทำให้การเจรจานอกลู่นอกทาง ต้องเอาประจักษ์พยาน และความจริงที่นั่งคุยกัน
เมื่อถามว่าตำแหน่งประธานสภา จะต้องนับรวมกับการเกลี่ยเก้าอี้ฝ่ายบริหารหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หากเป็นเสียงข้างมากแบบเป็น เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เราก็ยอมรับในกติกานั้น แต่การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เราต้องยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจ ต้องมีการถ่วงดุลมีการแบ่งแยกอำนาจการถึงจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้ คือ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ แต่กรณีที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็มีวิธีการคิดหลายเรื่อง ที่จะหาโอกาสทำงานร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีเสียงใกล้เคียงกัน จึงต้องมีวิธีที่ทำให้ยอมรับซึ่งกันและกัน