ไม่พบผลการค้นหา
ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แสดงวิสัยทัศน์พรรคเพื่อไทยยุคใหม่ ย้ำการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ในสภาฯ ต้องเข้าถึงประชาชนแม้เป็นฝ่ายค้าน 'สมพงษ์' ลั่น 6 สัญญาประชาชน เติบโตพร้อมกันทั้งองคพายพ

พรรคเพื่อไทยจัดประชุมและแถลงข่าวแผน 6 เดือนแรกในการปฏิรูปพรรคเพื่อไทย สู่เป้าหมาย “ประชาชนคิด เพื่อไทยทำ” โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเปิดในหัวข้อ “new challenge: สถานการณ์ใหม่ เพื่อไทยต้องเปลี่ยน” ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นและปัญหาต่างๆ ทั้งเงื่อนไขจากรัฐธรรมนูญและความพยายามสืบทอดอำนาจ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นที่คาดหวังของประชาชน เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วเอาคนเก่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาเข้ามาทำงานและไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาปากท้อง รวมถึงประสบปัญหาเสถียรภาพภายในรัฐบาลในภาวะเสียงปริ่มน้ำ ควบคู่ไปกับการเผชิญกับปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และปัญหาความขัดแย้งทุกภูมิภาคของโลก ทำให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการกำหนด 6 สัญญาต่อประชาชน คือ 1.) ยึดมั่นประชาชนเป็นศูนย์กลาง 2.) ยืนหยัดต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม 3.) ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4.) มุ่งหวังให้เกิดหลักนิติรัฐนิติธรรม 5.) เคารพในสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของทุกฝ่าย และ 6.) มุ่งหวังให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และการกำแนวทางของพรรค 4 แนวทาง คือ 1.) ปรับวิธีคิด กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง 2.) เร่งสร้างวัฒนธรรมการทำงานและเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ 3.) ปรับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ 4.) สร้างกลไกและองคาพยพให้ทันสมัย เพื่อสร้างความหวังให้เป็นดังคำว่า "พรรคเพื่อไทย หัวใจประชาชน"

ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวในหัวข้อ “new culture: วัฒนธรรมองค์กรแบบ Fast-track ทำให้เร็ว พลิกไทยให้ทันโลก” ถึงความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่พรรคเพื่อไทยต้องตามให้ทัน เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาโดยตรง พร้อมชี้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญผลกระทบจากการรัฐประหารทำให้บ้านเมืองถอยหลัง เศรษฐกิจและการลงทุนถอย เกษตรกรยากจน กำลังซื้อหดหายมา 5 ปีแล้ว มีแค่ธุรกิจใหญ่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่อยู่รอดในช่วงการปกครองของทหาร 5 ปี สวนทางจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่จนลง ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก ซึ่งจากเดิมคนไทยต้องแบกภาระหนี้ 2 แสนบาทต่อคน แต่ปัจจุบันต้องแบกภาระหนี้สูงถึง 5 แสนบาทต่อคนจากการบริหารงานผิดพลาด 

ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวย้ำว่า วันนี้ปัญหามีมากกว่าเดิมแล้ว แค่ "คิดใหม่ ทำใหม่" คงไม่เพียงพอ แต่ต้อง "คิดใหม่ ทำไว" เพราะทุกข์ของประชาชนรอไม่ได้ เมื่อประชาชนมีปัญหาคนของเพื่อไทยจะรู้เป็นคนแรก และเมื่อประชาชนมีปัญหาก็จะนึกถึงพรรคเพื่อไทยเป็นคนแรกเช่นเดียวกัน และส.ส.สามารถสื่อสารกับพรรคได้ทันทีว่าประชาชนมีปัญหาและแก้ไข จึงเปิดตัวแอปพลิเคชัน Change เป็นช่องทางติดต่อระหว่างประชาชนกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทยทุกพื้นที่ และเชื่อมต่อกูรูนักวิชาการทั้งหลายผ่าน "สถาบันสร้างไทย" มาร่วมคิดกับพรรคเพื่อไทย เข้าสู่โหมดใหม่ เพื่อไทยยุคใหม่ก้าวไปกับประชาชนด้วย "นวัตกรรมแก้จน" ใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ แก้ปัญหาความยากจน ซึ่งมีโมเดลทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด เปลี่ยนจากทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็นทุ่งกุลามั่งมี และบางกอกน้อยโมเดลที่กรุงเทพมหานคร

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวในหัวข้อ “new system: ปรับ รื้อ เปลี่ยน โครงสร้างพรรคเพื่อไทย” ถึงสิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการภายใน 6 เดือน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.) เปลี่ยนที่ทำการพรรคเพื่อไทยให้เป็น Open Space เป็นพื้นที่สาธารณะให้แสดงความคิดเห็นระดมสมองเปิดเวทีสาธารณะ มีร้านกาแฟเและครื่องดื่มราคาย่อมเยา ให้ประชาชนได้พบปะผู้แทนและนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยได้ มีฟรีอินเทอร์เน็ตห้องสมุดประชาชน เป็นห้องนั่งเล่นของพี่น้องประชาชน และจะขยาย Open Space พรรคเพื่อไทยไปตามสาขาต่างๆ มีพื้นที่ร่วมเรียนรู้กับพี่น้องประชาชน เพื่อตอบโจทย์หลักคิดใหม่ประชาชนคิดเพื่อไทยทำ

2.) ริเริ่มคณะกรรมการขนาดเล็ก คณะละไม่เกิน 5 คน จับกลุ่มกันตามความสนใจเพื่อติดตามประเด็นสำคัญต่างๆ ตอบโจทย์ความต้องการและปากท้องประชาชน จนไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

3.) ยุทธศาสตร์ผูกเสี่ยว เพิ่มบทบาท ส.ส.เป็นผู้แทนการค้าด้วย ช่วยหาช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าใช้พื้นที่ โดยใช้ Open Space ของพรรคเพื่อไทยเป็นโชว์รูมเพื่อแสดงสินค้า ให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถขายสินค้าในทุกช่องทางต่างๆ อย่างน้อยที่สุด 300 แห่งภายใน 1 ปีเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมและเป็นเครื่องมือเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน รวมถึงจะมีการอบรมสร้างช่องทางเพื่อให้สมาชิกและผู้แทนราษฎรทุกคน รู้จักใช้โซเชียลมีเดียเพื่อรับฟังติดต่อสื่อสารกับประชาชน ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะเริ่มต้นทำทันทีให้สำเร็จภายใน 6 เดือนจากนี้