แพทย์ในเมืองอู่ฮั่นของจีน พบทารกที่เพิ่งเกิดได้ราว 30 ชั่วโมง เป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019-nCoV และกลายเป็นผู้ติดเชื้อที่อายุน้อยที่สุดในโลกในตอนนี้ ขณะที่แม่ของเด็กถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาตั้งแต่ก่อนคลอด แพทย์จึงย้ำว่าจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมให้แน่ใจว่า ทารกคนดังกล่าวได้รับถ่ายทอดเชื้อไวรัสตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ หรือว่าคลอดออกมาก่อนแล้วจึงค่อยติดเชื้อ
แถลงการณ์ของโรงพยาบาลเด็กในเมืองอู่ฮั่นระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนจะช่วยกันดูแลทั้งแม่และเด็กให้หายจากอาการป่วยโดยเร็ว และจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าการติดเชื้อครั้งนี้ เป็นการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ หรือติดต่อจากการที่เด็กหายใจเอาละอองน้ำลายหรือเสมหะของแม่เข้าไปหลังจากที่คลอดออกมาแล้วหลายชั่วโมง
ก่อนหน้านี้มีทารกวัย 6 เดือน และเด็กวัย 8 ขวบ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์นี้เช่นกัน แพทย์จีนจึงออกมาเตือนว่าจะต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กๆ ด้วย เพราะตามปกติแล้วผู้ติดเชื้อจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 49 ถึง 56 ปี แต่ทารกที่ติดเชื้ออาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรงเท่ากับผู้ใหญ่ จึงเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจตามมา เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นสาเหตุให้เกิดโรคปอดอักเสบอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนประสบปัญหาอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคไม่เพียงพอสำหรับบุคลากร นายเทดรอส อัดฮานอม กีเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกจึงแถลงข่าวว่า จะต้องระดมทุน 675 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้ทั่วโลกปฏิบัติภารกิจป้องกันและควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ โดยองค์การอนามัยโลกจะจัดส่งหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจ 40,000 ชิ้น กระจายไปยัง 24 ประเทศทั่วโลกที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสนี้
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีน แถลงข่าวความสำเร็จในการรักษาอาการผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้จะมีผู้เสียชีวิตในจีนแล้ว 564 ราย ผู้ติดเชื้อ 28,018 รายในวันที่ 6 ก.พ.2563 แต่ก็มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้จำนวน 1,153 คนทั่วประเทศ บ่งชี้ว่าแนวทางการรักษาพยาบาลในจีนอาจมาถูกทางแล้ว
ส่วนพื้นที่ที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายและกลับบ้านได้มีหลายเมือง ทั้งในมณฑลเหอหนาน/ เฮยหลงเจียง/ กานซู/ ซานตง/ จี้หลิน/ เจียงซู/ กวางตุ้ง และเขตปกครองตนเองหุยหลินเซี่ย
ที่มา: BBC/ The Guardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: