สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เบอร์ 3 เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคเพื่อไทย โพสต์ภาพขณะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 พร้อมข้อความระบุว่า ผมพูดมาตลอดว่าต้องการผลักดันนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วันนี้ผมเลยอยากมาเล่าถึงนโยบายหนึ่งที่ผมเห็นด้วยอย่างมาก และเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอมานานแล้ว นั่นคือ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’

ทุกวันนี้รถไฟฟ้าแพงเหลือเกินครับ เวลาลงพื้นที่ผมมักได้ยินเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชนอยู่เรื่อยๆ บวกกับบางครั้งที่ผมขึ้นรถไฟฟ้าก็ยังรู้สึกเองเหมือนกันว่ามันแพง

ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าผมนั่งรถไฟฟ้าจากสถานีหลักสี่ไปที่ทำการพรรคเพื่อไทยที่สถานีเพชรบุรี นั่งสายสีแดงไปบางซื่อ 27 บาท ต่อสายสีน้ำเงินไปเพชรบุรี อีก 38 บาท ราคารวมกัน 65 บาท ไปกลับ 130 บาท นั่นมันเกิน 1 ใน 3 ของค่าแรงขั้นต่ำแล้วนะครับแล้วพี่น้องประชาชนจะใช้บริการไหวได้อย่างไร

ถามว่าค่ารถไฟฟ้าแพงเพราะอะไร เพราะมันมีหลายเจ้าของ หลายผู้ให้บริการ สัญญาสัมปทานมีหลายสิบฉบับ มีการแบ่งเค้กเยอะ ดังนั้นเวลาจะขึ้นรถไฟฟ้าแต่ละสาย ประชาชนจึงต้องจ่ายค่าแรกเข้าใหม่ทุกครั้ง

อย่างที่ผมยกตัวอย่างเวลาเดินทางจากสถานีหลักสี่ไปสถานีเพชรบุรี จริงๆ มันแค่ไม่กี่สถานีเองนะครับ แต่พอผมต้องเปลี่ยนจากสายสีแดงไปสายสีน้ำเงิน มีการเปลี่ยนระบบรถไฟฟ้า ผมก็ต้องเสียค่าแรกเข้าใหม่ แทนที่จะนับรวบทุกสถานีให้อยู่ในระบบเดียวกันทั้งหมด แล้วบวกค่าโดยสารเพิ่มตามจำนวนสถานีไปสถานีละ 1-3 บาทเท่านั้น

 ดังนั้นทางออกจึงตรงไปตรงมามากครับ คือ

1 - ยกเลิกค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน โดยรวบระบบรถไฟฟ้าทุกสายมาไว้ที่องค์กรเดียว แล้วกำหนดเพดานค่าโดยสายทั้งระบบ

2 - นำรายได้จากสัมปทานมาลดค่าโดยสาร

3 - เจรจาสัญญาสัมปทานให้สอดคล้องกับรายได้ของประชาชน

อย่างที่ผมบอกไปตอนแรก จริงๆ พรรคเพื่อไทยเรามีนโยบายนี้มาเป็นสิบปีแล้วครับ แต่น่าเสียดายที่ถูกขัดขวางทุกครั้งไป

• ไทยรักไทยประกาศ 15 บาทตลอดสาย โดนรัฐประหาร
• พลังประชาชนยืนยัน 15 บาทตลอดสาย โดนยุบพรรค
• เพื่อไทยประกาศ 20 บาทตลอดสาย โดนรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าไม่มีรัฐประหาร ป่านนี้คนไทยได้ขึ้นรถไฟฟ้าราคาไม่แพงกันนานแล้วครับ

ดังนั้นผมเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะเอารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายกลับมาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอนครับ

ปล. รูปคือตอนที่ผมลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงกลับบ้านพร้อมกับทีมหาเสียงครับ แม้จะถือว่าอยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วน แต่แทบไม่มีผู้โดยสารเลย แค่นี้ก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่างแล้วครับ