ไม่พบผลการค้นหา
'พิธา' ติง 'รัฐบาล' อย่ามองปัญหาฝุ่นแบบวันต่อวัน แนะแก้ระยะยาว รับตั้งใจเยือนเชียงใหม่ ไม่ได้มาปาดหน้า 'ทักษิณ' ย้ำ ไม่มีนัยยะการเมือง ชี้ ถึงเวลาแล้ว 'รัฐบาลไทย' เปิดเวทีคุย 'ปัญหาเมียนมา' หลังกลุ่มชาติพันธุ์ สะท้อนปัญหาเข้าถึงทางการไทยยาก

วันนี้ (12 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.25 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระหว่างลงพื้นที่ร่วมงานเทศกาลสงกรานต์ที่จังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ เรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการหายใจ และอากาศต้องมองกันยาวๆไม่ใช่มองวันต่อวัน ก่อนหน้า 50 กว่าวันที่ค่าฝุ่นที่เกินค่ามาตรฐานมาเยอะ และผู้ป่วยเดือนมี.ค.ก็เยอะกว่าช่วงไตรมาสแรกเยอะพอสมควร ซึ่งตนเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทั้งระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และในระดับพื้นที่มานานแล้ว 

แต่พอมาถึงพื้นที่วันนี้พอมีพระพิรุณมาช่วยก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าพี่น้องประชาชนก็ต้องการพึ่งพารัฐบาลมากกว่าพึ่งพระพิรุณ เพราะหลังจากนี้ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีก สถิติย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2010 ช่วงเดือน เม.ย.จะเกิดฝุ่นสูงสุด นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับอากาศแล้ว ยังมีเรื่องน้ำแล้งที่ขณะนี้จังหวัดภาคใต้ 2-3 จังหวัด และหากเข้าใจไม่ผิด เข้าใจว่า ในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็เริ่มเห็นปัญหาน้ำไม่พอผลิตน้ำประปาในหลายๆพื้นที่

“จริงๆควรจะแก้ปัญหาฝุ่นมาตั้งนานแล้ว เพราะคนหายใจทุกวันไม่ได้หายใจเฉพาะช่วงสงกรานต์” นายพิธา กล่าว

ยอมรับตั้งใจเยือนเชียงใหม่ ไม่ได้มาปาดหน้า 'ทักษิณ'

นายพิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ ที่ปรึกษาหัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นนักปาด โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้มาตามนายทักษิณ ชิน​วัตร​ แต่มาตามว่าผู้สมัคร อบจ.และพี่น้องประชาชน มาใช้วันสุดท้ายก่อนปิดยาวช่วงสงกรานต์ให้เป็นประโยชน์ และอยากใช้โอกาสนี้สื่อสารผ่านสื่อมวลชน เชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้ง อบจ.ให้เยอะ ให้ความสำคัญเท่ากับการเลือกตั้งระดับชาติ อยากให้มาใช้สิทธิ์ เพราะหากคนมาใช้สิทธิ์น้อย ก็ไม่ตรงตามหลักประชาธิปไตยและเสียดายงบประมาณในการเลือกตั้งด้วย ที่ครั้งหนึ่งใช้ 6-7 หมื่นล้าน 

เมื่อถามว่า นายพิธา เดินทางมาช่วงเดียวกับนายทักษิณ ซ้ำถึง 2 ครั้งแล้ว อาจถูกเชื่อมโยงได้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นความบังเอิญ ตอนที่มาครั้งนั้นเพื่อต้องการเรียนรู้การดับไฟป่า และเป็นช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่ประสบปัญหาสภาวะทางอากาศสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ตนมี สส. 7 คนจาก 10 คน และก็ได้รับคะแนนความไว้วางใจเป็นอันดับ 1 ก็ต้องลงมาช่วย สส.ทำงาน และกลับไปจะได้อภิปรายได้ถูกต้อง ไม่ใช่ความบังเอิญตนตั้งใจมาจริงๆ และไม่ได้ต้องการมาเพื่อการเมืองแต่อย่างใด แต่ต้องการทำหน้าที่อดีตหัวหน้าพรรค หากมีโอกาสอยากเข้าโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วย เรื่องทางเดินหายใจว่าหนักขึ้นจริงหรือไม่ 

"ตนคิดว่านักการเมืองถ้ายึดโยงกับประชาชนก็ขึ้นมาทั้งนั้น เข้าใจว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เพิ่งลงพื้นที่เราเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ก็ต้องขึ้นมาปกติอยู่แล้ว ไม่มีนัยยะทางการเมืองแต่อย่างใด" 

เมื่อถามว่ากระแสของพรรคก้าวไกล ไปจังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางเจ้าถิ่นอย่างพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดว่าพรรคไหนเป็นเจ้าถิ่นของใคร ประชาชนไม่ใช่สมบัติ ของนักการเมืองท่านไหนแต่ตอนมีความรับผิดชอบกับเชียงใหม่ เพราะเขาเลือกผมมาถล่มทลาย มาเป็นอันดับ 1 ของเชียงใหม่และจำนวน สส. ที่มีอยู่ และพื้นที่ที่มีไฟป่าเยอะก็เป็นเขตของพวกผมทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพอเป็นสส.แล้ว ไม่มีงบประมาณ ทำได้แค่ตรวจสอบรัฐบาลหรือเสนอแนะ ก็ต้องลงพื้นที่เพื่อให้สสทำงานได้ เพราะ 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น" 

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ขณะนี้เกิดการแข่งขันกันหลายกลุ่มทั้ง พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และกลุ่มทัศนีย์​ บูรณประกร นายพิธา กล่าวต่อว่า เป็นสีสันทางการเมือง การแข่งขัน ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ตนคิดว่ายังเร็วเกินไป หลังจากนี้ก็จะมีเรื่องนโยบายและไดนามิคทางการเมือง ช่วงนี้ตนขอสื่อสารให้คนมาเลือกตั้งอบจให้เยอะก่อน อยากให้รู้ว่าการเลือกตั้ง อบจ.มีศักดิ์มีศรีไม่แพ้ สส.

ชี้ ถึงเวลาแล้ว 'รัฐบาลไทย' เปิดเวทีคุย 'ปัญหาเมียนมา'

พิธา กล่าวถึงสถานการณ์ในเมียนมา ว่า เวลาแล้วที่รัฐบาลต้อง ร่วมมือ กับทุกภาคส่วน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชิดประเทศไทยเช่นรัฐกะเหรี่ยงรัฐ กะเหรี่ยง และ รัฐคะเรนนี และรัฐฉาน เพราะต่อสู้และสะท้อนให้กับตนเองฟังเมื่อตอนไปประชุมที่เจนีวา ว่าเข้าถึงรัฐบาลไทยยาก ถ้ารัฐบาลอยากจะเข้าใจเมียนมามากขึ้น ก็ควรจะรับข้อมูลให้รอบด้านไม่ใช่รับด้านใดด้านหนึ่ง อย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม NUG หรือ ERO นอกจากที่จะเป็นSAC ของรัฐบาล อย่างเดียว 

และถ้ารัฐบาลไทยมีความตั้งใจจะแก้ไขปัญหาสามปัญหาคือPM2.5 ออนไลน์สแกรม และยาเสพติด ความร่วมมือ จากกลุ่มชนชาติติพันธ์กลุ่มน้อยที่อยู่รอบประเทศไทย คงจะแก้ไขปัญหาต้นตอไม่ได้คิดว่าถึงเวลาแล้วซึ่งได้พูดเรื่องนี้กับ นายปานปรีย์ พิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวที การอภิปรายทั่วไป ม.152 ไปรอบหนึ่งซึ่งตอนนั้นนายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่จึงได้ฝากไปว่าถึงเวลาที่ต้องเข้าใจเรื่องในพม่ามี 14-15 เจ้า ซึ่งหลายครั้งมาติดต่อรัฐบาลแต่ก็ไม่มีใครสนใจจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะสนใจเมียนมามากขึ้น