ไม่พบผลการค้นหา
'ธีรรัตน์' กล่าวเปิดงานครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือระหว่างศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย และ UNHCR ย้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญและยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำประโยชน์ตามกฎหมายด้วยความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน

วันนี้ (2 ก.ย. 68) เวลา 14.30 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย คุณแทมมี่ ลินน์ ชาร์ป (Tammy Lynn Sharp) ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมกล่าวเปิดงานครบรอบ 50 ปี แห่งความร่วมมือระหว่างศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพกระทรวงมหาดไทย และ UNHCR โดยมี นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนหน่วยงานของสหประชาชาติในประเทศไทย คณะทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ อาทิ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ แคนาดา ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน และสภากาชาดไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมงาน ณ ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการก่อตั้งศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย และ 50 ปีแห่งความร่วมมืออันแน่นแฟ้นกับ UNHCR จากวิกฤตผู้อพยพชาวอินโดจีนในอดีตจนถึงสถานการณ์ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาในปัจจุบันด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมอันยาวนานจาก UNHCR ซึ่งได้เสริมพลังให้ประเทศไทยสามารถทำภารกิจสำคัญนี้ได้อย่างต่อเนื่อง

"แม้ว่าวันนี้ การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทั่วโลกจะเผชิญข้อจำกัดและความท้าทาย แต่ประเทศไทยก็ได้เลือกก้าวสู่เส้นทางใหม่เป็นครั้งแรก โดยผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาที่พักพิงอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนจะได้รับสิทธิในการทำงานอย่างถูกกฎหมาย เพราะพวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่คือส่วนหนึ่งของสังคมของเรา รัฐบาลไทยให้ความสำคัญและยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว และเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำประโยชน์อย่างถูกกฎหมาย ขณะเดียวกันยังช่วยลดการพึ่งพาความช่วยเหลือ ตอบสนองความต้องการแรงงาน และส่งเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน อันสะท้อนว่า "ผู้หนีภัยไม่ใช่เพียงผู้รอรับการดูแลแต่คือบุคคลที่มีศักยภาพและความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเอง และมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตร่วมกันได้"

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ประเทศไทยขอยืนยันการเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความหวัง และเราเชื่อมั่นว่า ความหวังนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม และโปร่งใส ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการสนับสนุนด้านงบประมาณจาก UNHCR และรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของภารกิจตามเป้าหมายร่วมกัน "เราจะก้าวไปด้วยกันอย่างยั่งยืน"

ผู้แทน UNHCR ได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งและชื่นชมยกย่องค่านิยมความเมตตา ความมีน้ำใจ และความเอื้อเฟื้อของคนไทยที่เป็นรากฐานของการช่วยเหลือผู้หนีภัย พร้อมกล่าวถึงประวัติศาสตร์ในห้วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมาที่ประเทศไทยเคยเป็นจุดศูนย์กลางการรองรับผู้อพยพจากสงครามอินโดจีน จนถึงวิกฤตในเมียนมาที่แม้ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก แต่ประเทศไทยก็หาทางรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานมาโดยตลอด

"และล่าสุด มติคณะรัฐมนตรีของไทยได้ให้สิทธิ “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)" ในการทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ อันถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความหวัง ศักดิ์ศรี และความสามารถพึ่งพาตนเอง ดังที่ UNHCR เชื่อเสมอว่า "ผู้อพยพไม่ใช่ภาระแต่คือทรัพยากรทางเศรษฐกิจ" และประเทศไทยได้สร้างบรรทัดฐานที่สำคัญ และเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาการคุ้มครองต่อไป ทั้งเรื่องการเข้าถึงพื้นที่ การป้องกันการผลักดันกลับ และการคุ้มครองผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งต้องขอบคุณกระทรวงมหาดไทยและทุกฝ่ายที่ทำให้งานครบรอบ 50 ปีครั้งนี้เกิดขึ้น อันเป็นการยกย่องมรดกด้านมนุษยธรรมของไทย และเป็นการเตือนใจว่างานด้านการคุ้มครองยังต้องดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน" ผู้แทน UNHCR กล่าว

ด้าน ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2518 เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤตอินโดจีน ในช่วงที่ประเทศไทยต้องให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีหน่วยงานกลางในการประสานกับองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรนอกภาครัฐ และต่อมา ประเทศไทยได้เผชิญกับสถานการณ์ผู้หนีภัยจากความขัดแย้งในเมียนมา โดยรัฐบาลไทยกำหนดให้เรียกว่า "ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา" (ผภร.) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 80 เป็นชาวกะเหรี่ยง โดยในปัจจุบันได้ดำเนินงานมาเป็นเวลา 41 ปี และยังคงดูแลผู้หนีภัยฯ ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง รวมประชากรทั้งสิ้น 77,681 คน

"แม้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณจากกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระงับเงินสนับสนุนด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกว่าร้อยละ 90 ของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการช่วยเหลือผู้หนีภัยฯ แต่ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 68 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย และมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ อันถือเป็นแนวทางใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อลดภาระของรัฐ เปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยสามารถพึ่งพาตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว และยังช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศอีกด้วย" ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับไฮไลต์ของ "นิทรรศการ 50 ปี: หมุดหมายแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้พลัดถิ่น" เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายและวิดีทัศน์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์และพัฒนาการของการให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นในประเทศไทยสะท้อนเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่วิกฤตการณ์อินโดจีน (ลาว กัมพูชา เวียดนาม) ไปจนถึงสถานการณ์ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.) ที่ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางการดำเนินงานในปัจจุบัน ที่สะท้อนถึงความยึดหยุ่นและความเข้าใจในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้สนใจสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมนิทรรศการ 50 ปี : หมุดหมายแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้พลัดถิ่น รำลึก 50 ปีแห่งความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงมหาดไทย (สศอ.มท.) และ UNHCR ประเทศไทยได้ในตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 14 ก.ย. 68 ณ ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

540782720_1152109823686501_2435491123781091707_n.jpg536284022_1152109097019907_1853685137725410307_n.jpg536276244_1152109800353170_3141923830221323167_n.jpg