วันนี้ 13 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคเพื่อไทยจัดสัมมนาภายใต้โครงการเสริมศักยภาพ สส.และบุคลากรทางการเมือง โดยมี แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะวิทยากรร่วมบรรยาย และ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ รวมถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยทั้งรองนายกฯ รัฐมนตรี สส. และสมาชิกพรรคเข้าร่วมการสัมมนาอย่างพร้อมเพียง
นายกฯ แพทองธาร กล่าวเปิดงานสัมมนาว่า วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่มาเจอกัน ถือเป็นโอกาสพิเศษมากๆ ที่มีนายกฯ 3 ท่านมารวมตัวกัน ตนขอยึดตำแหน่งหัวหน้าพรรคไว้ก่อน วันนี้รู้สึกอบอุ่นเหมือนมากับครอบครัว มากันพร้อมหน้า ต้องขอขอบคุณทีมงานหลังบ้านของพรรคเพื่อไทยทุกทีม ที่เตรียมงานครั้งนี้ทำให้เราจัดงานสัมมนาได้แข็งแรงทุกครั้ง นานๆ มีครั้งแต่เรารู้สึกอบอุ่น
"ดิฉันเป็นนายกฯมา 90 วัน แต่เป็นหัวหน้าพรรคมา 1 ปี 1 เดือน มีความผูกพันกับพรรคอย่างมาก ได้เห็นสส.หลายท่านพัฒนาตัวเองอย่างมาก เช่น การอภิปรายในสภาฯเป็นดาวสภาฯ ทำให้อยู่ในสายตาของคนทั้งประเทศ และการก่อตั้งทีมอคาเดมีของพรรค ซึ่งพรรคเพื่อไทยขาดหายไป ต้องขอบคุณทีมอคาเดมีที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่า สส.รุ่นไหน อย่าคิดว่าเราอยู่กันคนละฝั่ง ตนอยากให้ทุกคนเข้าหากัน ให้ความรู้กัน ถ้าเราจะมีพลังคือเราต้องร่วมกันต่อสู้ นั่นคือสิ่งที่อยากเห็นในอนาคต" แพทองธาร กล่าว
แพทองธาร กล่าวต่อว่า และในฐานะหัวหน้าพรรคตนยืนยันว่า สส.ในทุกพื้นที่มีความสำคัญหมด เพราะติดต่อกับประชาชนโดยตรง ขอให้ทำพื้นที่ให้ดีที่สุด และ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็ต้องช่วยกัน เพื่อก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ ตนดีใจที่ได้มารวมตัวกัน จากนี้จะขอปรับปรุงตัว แบ่งเวลาให้ดีขึ้น จะได้คุยกันให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมพรรคหรือการประชุมสภาฯจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ขอสัญญาไว้เลย
ต่อมา เศรษฐา กล่าวว่า เรามาที่นี่มีนายกรัฐมนตรีมาด้วยกัน 3 คน แต่ว่าไฮไลท์ที่สำคัญคือคนสุดท้าย ทุกคนคงใจจดใจจ่อจะฟังเรื่องดีๆ ซึ่ง 3 เดือนแล้วตนเองไปเลี้ยงหมา ไปทำธุรกิจมา ไม่ได้ทำงานเรื่องพวกนี้เลย และขอย้อนเล่าไปตอนที่ตัดสินใจมาเป็นนักการเมืองที่ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องเพื่อไทยอย่างอบอุ่น ได้รับการต้อนรับมาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยความยินดี และมีความสบายใจที่จะเข้ามาอยู่ ตอนที่จะตอบรับมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าก็มีการตัดสินใจอยู่นานพอสมควรอยู่เหมือนกัน มีความลังเล และได้พูดคุยกับหลายท่าน และคนสุดท้ายที่ได้คุยคือคุยกับพี่เต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) และสิ่งที่กลัวที่สุด คือการปราศรัย กลัวมากที่สุด ซึ่งพี่เต้นบอกว่าไม่เป็นไร ขึ้นไปพูดโบกมือยิ้ม ๆ ก็พอแล้ว ซึ่งเวทีแรกที่จังหวัดพิจิตร ก็ขาสั่นอยู่ แต่ก็พัฒนามาเรื่อย ๆ และระหว่างนั้นนายกฯ แพทองธาร ก็ท้องอยู่หลายเดือน ซึ่งที่ผ่านมามีการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
อดีตนายกฯ เศรษฐา กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบว่า สส. เห็นหรือไม่ ว่านายกรัฐมนตรีมีความเหน็ดเหนื่อย มีความทุ่มเท มีความเสียสละ เพราะทำธุรกิจอยู่ดี ๆ ก็ต้องมาเสียสละเพื่อบ้านเมือง คิดว่าท่านก็ทำได้ดีมาก มีหลายช่วงเวลาที่เราไปหาเสียง ซึ่งมีเหตุการณ์ที่ตนเองต้องตกใจ เพราะนายกฯแพทองธาร บอกว่า ลมตี หายใจไม่ออก หายใจไม่ทัน เราก็ต้องพาออกไปข้างนอก ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเองไม่ทราบว่าความกดดัน การที่ต้องมายืนตรงนี้ มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และจนวันนี้มาเป็นนายกรัฐมนตรีความทุ่มเทมากน้อยขนาดไหน
"ช่วงที่ผมเป็นนายกฯ ก็พูดคุยกับ แพทองธาร มาตลอด ในฐานะหัวหน้าพรรค เพื่อให้ช่วยคุยกับสมาชิกของพรรคในการแก้ปัญหาต่างๆ และนำปัญหาต่างๆ มาแก้ไข แม้ว่าจะมีการจัดให้พบปะกัน เพื่อรับฟังปัญหานำไปแก้ไข ซึ่งถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นช้า แต่ก็เชื่อว่ามีการพัฒนาตรงนี้ได้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล และขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมดีใจ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน หรือท่านนายกฯ การขับเคลื่อนต่าง ๆ ก็คงเกิดขึ้นได้ลำบาก" เศรษฐา กล่าว
"เอาจริงๆ วันแรกที่พ้นจากตำแหน่ง ตื่นเช้ามาก็งงๆ นิดหน่อยว่าจะไปไหนดี แต่พอตื่นมาแล้วทุกอย่างก็ไหลลื่นไป และสิ่งที่ผมทำคือ เชิญรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุย เพื่อมอบหมายงาน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6 - 7 วัน ก็สำเร็จ จากนั้นก็เดินทางไปต่างประเทศ และหลังพ้นตำแหน่งวันแรกสื่อมวลชนพยายามขอสัมภาษณ์ แต่ผมต้องพูดตรงๆ จากใจ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ ถึงแม้จะรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เพราะวันที่ลุกจากตำแหน่งไปแล้ว มีคนใหม่มาแล้ว ถึงแม้รัฐมนตรีจะเป็นหน้าเก่าๆ หลายท่านเหมือนเดิม แต่วิธีการทำงาน หลักการคิด หลักการทำงานนโยบายที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ต้องให้เกียรติท่าน" อดีตนายกฯ กล่าว
เศรษฐา กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าท่านได้ตั้งไข่อย่างสมบูรณ์ ได้รับการสนับสนุนอย่างดีพอสมควร จากพวกท่านทุกคน นำพารัฐบาล ที่มีการนำและมีพรรรคร่วมรัฐบาลที่ค่อนข้างจะเหนื่อยก็ต้องยอมรับ แต่ถือว่าบริหารจัดการได้ดีพอสมควร ซึ่งต้องช่วยเหลือกัน ในการผลักดันผลงาน
เศรษฐา ระบุอีกว่า เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค. 67) แถลงผลงาน 90 วัน เดี๋ยวก็จะมีเรื่องดี ๆ แถลงตามออกมาเยอะแยะ ซึ่งเรื่องแถลงออกไป ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยเอง ก็ตอบรับความร่วมมือที่ดี ดีกว่าสมัยก่อนที่ตนเองเป็น เพราะท่านเก่งกว่าตนเองในเรื่องพวกนี้ เชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว
"นายกรัฐมนตรีปัจจุบันนั้นเหมาะสมที่สุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ และสมควรอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากพวกท่าน แน่นอนว่า 141 จาก 500 เสียง เป็นอะไรที่ล่อแหลมมาก เราทำได้เยอะขนาดนี้ ก็ถือว่านายกรัฐมนตรีเก่งมากแล้ว และเรื่องต่างๆ หลายเรื่องที่อยากได้รับความร่วมมือมากขึ้น แน่นอนว่าเรามี สส. อยู่ 141 เสียง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสบายใจ ตำแหน่งก็มีอยู่น้อย ก็ต้องมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และเชื่อว่ากรรมการบริหารพรรค มีการดูแลสมาชิกพรรค และ สส. เป็นอย่างดี"
"ผมเคยพูดไปแล้วว่า สนามหญ้าข้างบ้าน อาจจะดูเขียวกว่าบ้านของเรา หากมองข้ามรั้วไป หญ้าเขียวท่านก็ยังไปอยู่บ้านนั้น แต่ใต้หญ้าเขียวๆ มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า มีหลุมมีอะไรพรางอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื่อว่าแม้บ้านเราสนามหญ้าเขียวไม่เท่า มีหลุมมีบ่อบ้าง แต่ท่านเห็น เรามาช่วยกันอุดมาช่วยกันปิด มาช่วยกันเอาหญ้ามาเสริมจะดีกว่า สร้างบ้านหลังนี้ให้แข็งแรงให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น"
เศรษฐา กล่าวช่วงท้ายว่า ตนเป็นคนนอกมาอยู่ 2 ปี ก็มั่นใจว่าบ้านหลังนี้ เป็นสถาบันทางการเมืองที่แข็งแกร่ง มีแต่พรรคเราที่เป็นแบบนี้ ท่านนายกฯทักษิณ กลับมาแล้ว ท่านก็มาช่วยเราคิดนโยบาย ตนวันนี้ก็ต้องสนับสนุนท่านนายกฯ
จากนั้น ดร.ทักษิณ ได้ขึ้นกล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ ”สถานการณ์ทิศทางโลกและการปรับตัว“ ซึ่งได้ลงในรายละเอียดทั้งนโยบายของรัฐบาล การมองภาพรวมความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน โดยระบุว่า ตนเป็นคนคิดบวก พูดเล่นบ้างอะไรบ้างก็อย่าแปลกใจ ที่บอกขออีก 40 ปี ก็จะเจรจากับพระเจ้าในประเทศไทยว่าขอเวลาอีก 17 ปีที่หายไป ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กลับมา มีคนบอกว่าสหรัฐอเมริกาจะจัดการกับเรา เนื่องจากเราได้เปรียบดุลการค้าจากเขา เราต้องระวังเรื่องการขึ้นภาษี รวมถึงกรณีที่โดนัลด์ จะใช้หนี้อเมริกาจากบิทคอยน์ ที่พูดไม่ใช่จะให้ซื้อ แต่เทรนด์เป็นเช่นนั้น มีเงินคริปโตหลายสกุลออกมาแล้ว ก็มีคนบอกว่าอีกหน่อยเราจะมีสกุลเงินมากกว่าจำนวนประเทศ วันนี้คนไทยต้องคิดจะรู้ทันมันให้ได้
สำหรับเรื่องนี้ นายกฯ อาจจะมอบให้ทางกระทรวงการคลัง ไปศึกษาเพื่อรับบิทคอยน์ได้หรือไม่ ใช้ Sandbox เช่น จ.ภูเก็ต ใช้บิทคอยน์ เพื่อให้คนถือบิทคอยน์มาใช้เงิน อีกเรื่องที่น่าติดตามคือเหรียญที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีอาจจะให้กระทรวงการคลังศึกษา เช่นด้วยการออกคอยน์ โดยมีบอนด์ของรัฐบาลค้ำประกัน เพื่อทำให้เงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ
"ถ้าทำแบบนี้ผมเขื่อว่า GDP ปีหน้า 3.5 เปอร์เซ็นต์ ไม่น่าจะมีปัญหา และในปี 2569 หาก GDP จะโต 4.0 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา" อดีตนายกฯ กล่าว
ดร.ทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้เม็ดเงินในเศรษฐกิจเราถูกดูดออกหมด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่ออกกู้ เราต้องหาเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาของประเทศ วันนี้หนี้สาธารณะเราเยอะมาก ฉะนั้น เราต้องทำให้ GDP เติบโต และลดการขาดดุล เพื่อทำให้หนี้สาธารณะลดลง พรรคเพื่อไทยเราต้องทำให้ได้ โดยปีหน้าจะเป็นปีแห่งโอกาสของคนไทย วันนี้งบประมาณปีหน้าเป็นปีที่เราจะต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพ ต้องลดหนี้สาธารณะลงให้ได้
และต้องให้รัฐวิสาหกิจที่มีหนี้เยอะ ออกพ้นจากรัฐวิสาหกิจ เอาเอกชนมาลงทุนแทนรัฐ เช่น การลงทุนป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ เราก็ต้องหาทางทำแต่จะทำอย่างไร ถ้ารัฐไม่มีเงิน งบลงทุนมันต่ำ ก็ต้องให้เอกชนมาลงทุน เอกชนต้องคิดว่าเขาจะทำประโยชน์คุ้มค้าหรือไม่ ต้องไปดูตรงนี้
เราพูดเรื่องการผูกขาด เรื่องไฟฟ้า เรามีหน่วยงานของรัฐ แต่ทุกคนต้องมีสวัสดิการของตัวเอง ทำให้ค่าไฟฟ้าของเรามีราคาแพง เราไม่ควรเห็นเลข 4 บาท เลข 3 บาทปลายก็ไม่ควรเห็น ต้องอยู่ 3 บาทกลางๆ เพราะประชาชนอยู่ไม่ได้
“เมื่อ 2 วันก่อนเห็นข่าว มีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรากฏว่ามีพรรคร่วมบางพรรคหลบ ป่วย อย่างนี้ ไม่ไปด้วยกันมาด้วยกัน ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกัน วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง อย่าหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ส่วนตัวผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่ายๆ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบายคุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้ รัฐมนตรีค่อยๆหลบมือออก ไม่ได้ เราต้องตรงไปตรงมา”
อดีตนายกฯ กล่าวต่อว่า เราต้องทำงานร่วมกันจริงๆ มีอะไรไม่พอใจพูดกัน แต่สิ่งไหนที่เป็นนโยบายรัฐบาลคือต้องทำ ไม่ใช่ได้ตำแหน่งแล้วไม่เอาแล้ว รัฐบาลนี้เป็นกลไกประชาธิปไตย เรามีหลายออปชั่น การทำงานร่วมกันนั้นไม่ยากเลย
ประเด็น MOU 44 อดีตนายกฯ กล่าวว่า สมัยที่ตนเป็นนายกฯ เรื่องนี้เป็นการเซ็นร่วมกันระหว่าง รมว.ต่างประเทศ ไทย กับ กัมพูชา สมัยตนเป็นนายกฯ เพื่อคุยกันเรื่องที่เราไม่ได้คุยกันเรื่องที่เราคุยกันไม่ได้ คือเรื่องการลากเส้นเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศที่ไม่ตรงกัน ซึ่งต้องอ้างกฎหมายระหว่างประเทศ
อดีตนายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องเกาะกูดที่คนบอกจะเอาไปให้เขา คนพูดไม่ได้ดูเนื้อหาสาระ เกาะกูดเป็นของไทยตั้งนานแล้วอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศษ มันชัดเจนแล้วแต่วิธีลากเส้นของกัมพูชามันไม่ถูก เรามั่นใจวิธีเราถูกกว่า แต่สุดท้ายไม่เป็นไรเรามาคุยเรื่องที่เรายังไม่ตกลงว่าคืออะไรกันแน่แค่วางกรอบแต่วันนี้โวยวายกันใหญ่
"ต้องถามว่าพลังงานที่อยู่ในทะเลอีกสัก 20 ปีใช้ไม่ได้แล้ว อีก 20 ปีจะทิ้งทรัพย์สินตรงนี้สัก 4 ล้านๆ บาท ถ้าตกลงกันได้ซึ่งมี 2 ส่วนคือผลประโยชน์ในทะเลและบนบกที่ไม่มีปัญหาทำให้ยังไม่จบต้องคุยกัน ซึ่งการปักปันเขตแดนทุกด้านมีปัญหาหมดแต่เราอยู่ร่วมกันอย่างนี้ เพียงแต่เรื่องเขตแดนมันไม่จบ ต้องคุยกันด้วยหลักสากล เรื่องนี้คือตกลงจะคุยเรื่องที่เรายังไม่ตกลง อย่าเพิ่งโวยวายไม่มีใครขายชาติหรอกถ้าขายคนเฮงซวยพอคุยได้แต่คงไม่มีคนเอา"
ดร.ทักษิณ กล่าวต่อว่า ยืนยันเรื่องบนบกไม่ต้องเถียงจบไปนานแล้ว มันเหลือแต่เส้นทางทะเล แต่วันนี้เถียงกันแทบตายแต่คนที่ได้ประโยชน์คือ 'คนที่ได้สัมปทานเดิม อย่างไรก็ตามการเป็นเพื่อนดีกว่าเป็นศัตรู แต่หลักการประเทศต้องมาก่อน ไม่ใช่เป็นเพื่อนแล้วบอกยกประเทศให้เพื่อน อันนั้นมันควายแล้ว'