ไม่พบผลการค้นหา
'พลับพลาไชย' เป็นแหล่งเปิดกว้างทางความเชื่อ ความทรงจำ รสนิยม มีทั้งศาลเจ้าบนโรงพักที่คนมักจะไปขอโชคลาภเรื่องหวย-พนัน และวัดที่สร้างโดยเงินที่ได้จากซ่อง แต่ประวัติศาสตร์ 'บางส่วน' ของย่านนี้ถูกลบเลือนมาเกือบจะ 44 ปีแล้ว

ในกรุงเทพเมืองเทพสร้างของเราเนี่ย... บ่องตงว่ามีน้อยที่มากที่เที่ยวสนุกทั้งในเชิงช็อปปิง ของกิน ถ่ายรูป ทำบุญ และประวัติศาสตร์มากเท่ากับย่าน Chinatown และในอาณาบริเวณเล็กๆ ในระหว่างถนนไม่กี่สายที่รู้จักร่วมกันในฐานะเป็นย่านที่อยู่ของคนจีนในพระนครนั้น ส่วนที่น่าตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจมากที่สุด (จากปากคำของคนที่พอที่มีความเชี่ยวชาญในละแวกนั้นอยู่บ้าง) ก็ไม่น่าจะมีแถวไหนเกินกว่า 'ถนนพลับพลาไชย' ตรงช่วงที่ผ่านหน้า สน. พลับพลาไชย ตรงข้ามกับวัดคณิกาผล ที่ติดกับศาลเจ้าและมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งนั่นเอง

มันน่าตื่นเต้นตรงไหนน่ะเหรอ... เหอๆๆ โม้ให้ฟังจนถึง 'โต๊ะจีน 15' ก็อาจจะยังไม่จบ เอาแบบหนังตัวอย่างสั้นๆ ก่อนละกัน โรงพักพลับพลาไชยน่ะเมื่อก่อนเป็นบ้านของหัวหน้าอั้งยี่ คือ 'แต้ตี้โอ้ง' หรือยี่กอฮง หรือที่ราชทินนาม พระอนุวัตรราชนิยม ต้นตระกูลเตชะวณิช นั่นเอง ยี่กอฮงนี้เคยเป็นนายอากร 'หวย กข' เป็นนักเลงบ่อน เป็นหัวหน้าอั้งยี่ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง แต่ช่วงท้ายของชีวิตประสบภาวะล้มละลาย หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว คฤหาสน์หลังใหญ่ก็เลยถูกยึดเป็นของหลวง และเอามาทำเป็นสถานีตำรวจในเวลาต่อมา

ทีนี้เกิดปัญหาตำรวจโดนผีหลอกบ่อยเลยพากันสร้างศาลเจ้าให้ยี่กอฮงที่ดาดฟ้าโรงพัก ก็กลับกลายเป็นที่นิยมในหมู่นักพนันทั้งหลาย เพราะยี่กอฮงเคยเป็นนายอากรหวยและเคยทำธุรกิจสีเทาๆ เกี่ยวกับบ่อนและการพนันรูปแบบต่างๆ อยู่มาก ศาลเจ้ายี่กอฮงที่ดาดฟ้าโรงพักพลับพลาไชยก็เลยกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในการไปขอหวยและขอโชคลาภสำหรับการพนันซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศนี้

นอกจากนี้ หลังจากที่ไปไหว้เจ้าพ่อการพนันบนดาดฟ้าโรงพักแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งหลายก็ยังอาจจะข้ามไปไหว้พระทำบุญที่วัดฝั่งตรงข้ามที่ชื่อ วัดคณิกาผล หรือเดิมรู้จักกันในนามวัดใหม่ยายแฟง ซึ่งชื่อวัดก็บอกอยู่แล้วว่าสร้างขึ้นจากผลกำไรของการดำเนินกิจการซ่องโสเภณี และเกิดมาจากแม่เล้าใจบุญนามว่ายายแฟง ในยามเฒ่าชราเกษียณอายุแล้วก็มีดำริเปลี่ยนสนามกามเป็นสนามบุญ เอาเงินจากกิจการซ่องมาสร้างวัด อยู่ตรงข้ามกับบ้านหัวหน้าอั้งยี่ที่กลายเป็นสถานีตำรวจ 

AFP-เยาวราช-ไชน่าทาวน์-กรุงเทพ-คนจีน-ชุมชน

มาเที่ยววัดใหม่ยายแฟงแล้วก็อย่าลืมเดินอ้อมวิหารไปด้านหลังวัด ตรงที่เป็นที่บรรจุอัฐิของญาติโยมทั้งหลายจะมีศาลยายแฟง มาม่าซังใจบุญ ห่มด้วยผ้าและลูกปัดสีฉูดฉาดเฟี้ยวเงาะตั้งอยู่อีกด้วย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนไปไหว้ยายแฟงนั้นโดยมากขออะไร แต่ออกจะมั่นใจว่าคงเป็นสิ่งที่รื่นรมย์ไม่น้อยกว่าการขอเลขเด็ดขอโชคลาภการพนันจากสถานีตำรวจฝั่งตรงข้ามอย่างแน่นอน

ถัดจากบ้านนายอากรหวยที่กลายมาเป็นสถานีตำรวจ และกิจการซ่องโสเภณีที่กลายมาเป็นวัดแล้ว ก็คือศาลเจ้าและมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ซึ่งเป็นมูลนิธิสาธารณประโยชน์ที่ใหญ่ เก่าแก่ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในย่าน Chinatown และในกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว มูลนิธินี้แรกทีเดียวสถาปนาขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือจัดการเรื่องศพไม่มีญาติหรือศพอนาถายากจนต่างๆ ในย่านสำเพ็งเยาวราช เพื่อความสะอาดเรียบร้อยและเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในย่านชาวจีน

ต่อมาก็ขยายกิจการใหญ่โตขึ้น กลายมาเป็นสปอนเซอร์โรงพยาบาล โรงเรียน โรงทาน ตลอดจนศาลเจ้าและศาสนสถาน ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีนมากมายหลายแห่ง มาที่มูลนิธินี้สามารถทำบุญโลงศพและผ้าห่อศพให้ผีไม่มีญาติได้ ไถ่ชีวิตโคกระบือได้ ซื้อเครื่องรางยี่กอฮงมาบูชาได้ และถ้ามีความศรัทธาหลากหลายก็ยังอาจได้พบเทวรูปพระพรหม พระคเณศวร์ ตลอดจนเจ้าแม่กวนอิม และอื่นๆ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ให้สักการะขอหวยกันได้ไม่ซ้ำหน้ากันอีกต่างหาก มันช่างเป็นย่านที่เปิดกว้างทางความเชื่อ ความทรงจำ และรสนิยมเสียนี่กระไร

แต่สิ่งที่พลับพลาไชยถูกลืมตามหัวข้อของโต๊ะจีนตอนนี้ ไม่ใช่ยายแฟงหรือยี่กอฮงหรือปอเต็กตึ๊ง แต่คือเหตุการณ์ที่จะครบรอบ 44 ปีในราว 4 ทุ่มของวันที่ 3 กรกฎาคมปีนี้ นั่นคือเหตุการณ์จลาจลที่พลับพลาไชย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากเหตุการณ์ในค่ำคืนวันที่ 3 กรกฎาคม 2517 นั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่าในค่ำคืนวันนั้น คนขับแท็กซี่สัญชาติไทยเชื้อสายจีน ชื่อ นายพูน ล่ำลือประเสริฐ ได้เลี้ยวรถไปจอดรับผู้โดยสารที่โรงภาพยนตร์ย่านเยาวราชแห่งหนึ่งแล้วโดนตำรวจจาก สน.พลับพลาไชย 2 นายเข้ามาเขียนใบสั่งในความผิด 'จอดรถในที่ห้ามจอด' 

คุณตำรวจขา... ถ้าแท็กซี่จอดรับผู้โดยสารหน้าโรงหนังไม่ได้นี้จะให้ไปจอดดาวอังคารเหรอคะ? 

ซ้ำร้ายสำหรับนายพูนนั้น ใบสั่งใบนี้จะเป็นใบที่ 3 ในระยะไม่ถึง 48 ชั่วโมงด้วยซ้ำไป จน เครียด กินเหล้ามาแล้วด้วยหน่อยหนึ่ง นายพูนก็พยายามต่อรองกับตำรวจ แต่ก็ไม่เป็นผล ท้ายสุดก็โดนลากตัวออกมาจากรถและถูลู่ถูกังไปจนถึงห้องขังที่โรงพักพลับพลาไชยนั่นเอง ระหว่างทางนายพูนก็ดิ้นรนโวยวายร้องตะโกนว่า “ตำรวจรังแกประชาชน” ไปจนตลอดทาง เป็นเหตุให้มีชาวบ้านร้านตลาดในละแวกนั้นพากันออกมาตามดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงได้มีความเอะอะโวยวายมากถึงเพียงนั้น

AFP-เยาวราช-ไชน่าทาวน์-กรุงเทพ-คนจีน-ชุมชน

ท้ายสุดก็เลยมีฝูงชนจำนวนย่อมๆ ไปยืนมุงกันอยู่ที่หน้า สน.พลับพลาไชย พากันตั้งคำถามที่น่าสนใจ อาทิ จอดรถที่ห้ามจอดแค่นี้ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือลากตัวไปยัดใส่ตารางเลยหรือ? เอ๊ะ... แล้วหน้าโรงหนังนี่มันห้ามจอดรับผู้โดยสารตั้งแต่เมื่อไหร่ รวมถึงประเด็นที่ว่าคนไทยเชื้อสายจีนในย่าน Chinatown นั้นมักตกเป็นเหยื่อการรีดไถและข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ประกอบกับ ณ เวลานั้นเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มายังไม่ทันครบปี ความเชื่อมั่นในพลังประชาชนก็ยังพลุ่งพล่านอยู่ รวมตัวกันอยู่ซักพักก็เริ่มมีคนลุกขึ้นปราศรัย เรียกร้องให้ตำรวจหยุดใช้ความรุนแรงข่มเหงรังแกประชาชน เรียกร้องให้ปล่อยตัวคนขับแท็กซี่ หรือไม่งั้นก็ออกมาแถลงอธิบายให้ชัดเจนว่าใช้กำลังจับกุมตัวเขาไปใส่คุกใส่ตารางนั้น มีเหตุผลอันชอบธรรมอันใดบ้างหรือไม่ 

เวลาผ่านไปจนใกล้ๆ เที่ยงคืน ตำรวจก็ตัดสินใจลากนายพูนออกมาให้ประชาชนดูว่ายังมีชีวิตดีอยู่ ไม่ได้ถูกกระทำทารุณกรรมอันใดที่เกินเลยจากการถูลู่ถูกังจากเยาวราชมาถึง สน. และถูกจับโยนใส่ตาราง ณ เวลานี้ก็รู้สึกเรื่องจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว ตำรวจจะปล่อยตัวไปแล้วกัน ชาวบ้านก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปเถิด อย่ามาชุมนุมอะไรให้มันเกะกะแถวโรงพักนี่เลย

แต่การกลับไม่ simple เช่นนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงตั้งคำถามต่อไปว่า อ้าว... เขาไม่ผิดแล้วจับเขามา ลากเขาออกมาจากรถ ทำร้ายร่างกายเขา จับเขาใส่ตาราง เสียชื่อเสียง เสียเวลาทำมาหากิน เสียสุขภาพทั้งกายและจิตอีกต่างหาก เสร็จแล้วก็ปล่อยไปโดยไม่มีการรับผิดชอบความเสียหายอะไรเลยหรือ? คำถามยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่มีมือดีเริ่มจุดไฟเผาถังขยะและเศษกระดาษ ไม้ กล่องลังต่างๆ ที่ระเกะระกะอยู่ในละแวกนั้น นำไปสู่การเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและทำให้ไฟดับในอาคารโรงพักพลับพลาไชยทั้งหลัง ตำรวจจึงแก้ปัญหาด้วยการพากันวิ่งกรูกันออกมาจากโรงพักเพื่อขอคืนพื้นที่โดยการใช้กระสุนจริงยิงกราดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตทันทีสิบกว่าคน การจลาจลที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของกรุงเทพมหานครยุคสงครามเย็นจึงระเบิดขึ้น

AFP-เยาวราช-ไชน่าทาวน์-กรุงเทพ-คนจีน-ชุมชน

จำไว้นะคะ Chinatown อยู่ติดกับย่านค้าอาวุธปืน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมีอาวุธปืนในครอบครองแทบทั้งสิ้น เมื่อเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐในย่านเยาวราชสำเพ็ง หากเจ้าหน้าที่เลือกใช้ความรุนแรงก็จะมีการยิงตอบโต้จากประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่ปืนอย่างเดียวนะคะ มีวัยรุ่นขี่จักรยานวนมาปาโมโลตอฟค็อกเทลใส่อาคารโรงพักด้วยเป็นระยะ สุดท้ายก็เป็นไปตามฟอร์ม คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสู้ไม่ได้ ต้องเรียกทหารเข้ามาปิดล้อม Chinatown แบบเต็มอัตราศึก ทั้งรถถังและอาวุธสงครามครบมือ ยิงกันจนรุ่งสางแล้วความสงบจึงกลับคืนมาสู่ย่านพลับพลาไชยอีกครั้งหนึ่ง 

แต่การจลาจลก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้นนะคะ ตกเย็นวันถัดมาหลังจากเลิกงานกันแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมที่โดยมากเป็นเด็กหนุ่มเชื้อสายจีนวัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้นที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นก็พากันออกมารบกับเจ้าหน้าที่ต่อมาเป็นคืนที่ 2 คืนที่ 3, 4, 5 ในขณะเดียวกันรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็ออกมาประกาศสภาวะฉุกเฉิน และแถลงว่าการจลาจลนั้นเกิดขึ้นจากแก๊งอั้งยี่ในย่านชุมชนชาวจีนซึ่งมีความขัดแย้งกับตำรวจมาฉวยโอกาสใช้ความชุลมุนวุ่นวายนี้ต่อสู้แก้แค้นตำรวจที่มาขัดขวางการทำมาหากินเป็นโจร เป็นคนค้ายาเสพติด และแมงดาคุมซ่อง ฝ่ายทางการจึงจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงปราบปรามขั้นเด็ดขาดเพื่อให้ความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาสู่ Chinatown อีกครั้งหนึ่ง

ความรุนแรงนั้นดำเนินต่อมาแทบทุกค่ำคืน รวมเกือบสองสัปดาห์ ฝ่ายทหารจึงสามารถ���วบคุมสถานการณ์ให้กลับสู่สภาพปกติได้โดยไม่มีการสอบวินัยหรือตั้งคำถามกับการใช้อำนาจโดยมิชอบของตำรวจที่จับกุมแท็กซี่ต้นเรื่อง ไม่มีการตั้งคำถามกับการใช้ความรุนแรงของรัฐในการจัดการกับการชุมนุมประท้วง ทั้งที่ความสูญเสียจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เพิ่งจะผ่านพ้นไปยังไม่ทันครบปี 

รัฐได้ตัดสินและประกาศออกมาอย่างมั่นใจว่าทุกคนที่เสียชีวิต (ซึ่งมีแต่ฝ่ายประชาชนทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีใครตายเลย) ล้วนเป็นอาชญากร พ่อค้ายาเสพติด แมงดาคุมซ่อง ฯลฯ หรือถ้าไม่ใช่ก็คงจะเป็นสายลับของจีนคอมมิวนิสต์ เพราะโดยมากผู้ร่วมชุมนุมนั้นมาจากพื้นเพความเป็นชนชั้นกรรมาชีพและมีเชื้อสายจีน ตายไปก็สมควรแล้ว ต่อไปใครอย่าริมาตั้งคำถามกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐอีก

และเรื่องนี้ก็ถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์ชุมชนจีนในเยาวราชสำเพ็งแทบทุกเวอร์ชั่น ไม่มีการกล่าวถึงในพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการใดของคนไทยเชื้อสายจีน และแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงสำคัญของนักศึกษา 2 เหตุการณ์คือ 14 ตุลา 2516 กับ 6 ตุลา 2519 ก็แทบไม่มีใครคิดจะจำ เพราะคนตายไม่ได้เป็นนักศึกษา โดยส่วนมากไม่มีการศึกษาสูง และไม่ได้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ โดยทั่วไปแต่ประการใด นานวันเข้าก็ถูกลืมไปเหมือนกับเรื่องราว absurd อีก 500 เรื่องบนถนนพลับพลาไชย... 

ก็มีแต่เรานี่แหละที่จำได้ 3 กรกฎาคม วันจลาจลที่พลับพลาไชยค่ะทุกคน... โห่ฮิ้ววววว... ประชาชนจงเจริญ!

อ่านเพิ่มเติม:

“อย่าบอกโรซี่”
คนทำงานวิชาการด้านประวัติศาสตร์จีน และจับตามองความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทย และประเทศใหญ่น้อย
0Article
0Video
0Blog