ก่อนหน้านี้ พันธมิตรสามภราดรภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ทรงอำนาจในเมียนมา ได้เปิดฉากการโจมตีร่วมกันที่ด่านหน้าทางทหารหลายสิบแห่งในรัฐฉานทางตอนเหนือ ตามแนวชายแดนด้านตะวันออกของเมียนมาที่ติดกับจีน เมื่อช่วงวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อยึดเมืองชายแดนชินฉ่วยฮอว์
จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มพันธมิตรชาติพันธุ์ยังคงยึดพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้กองกำลังของพวกเขาได้ และกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธสามารถเข้าควบคุมฐานทัพทหาร ยึดอาวุธ และอุปกรณ์ทางทหารเพิ่มเติม ทั้งนี้ กองทัพเมียนมาได้ตอบโต้กองกำลังชาติพันธุ์ ด้วยการส่งเครื่องบินรบเข้าทิ้งระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว
การรุกพื้นที่โดยกลุ่มชาติพันธุ์ในครั้งนี้ นับเป็นบททดสอบที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับนายพลเผด็จการเมียนมา นับตั้งแต่พวกเขาเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซานซูจี ในเดือน ก.พ. 2564 นอกจากนี้ การรุกพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ยังเป็นการปลุกพลังให้กับกองกำลังป้องกันประชาชน ซึ่งเป็นกองกำลังของพลเรือนที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมามาหลายเดือน ซึ่งบางครั้งทำปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ เพื่อ ล้มล้างการรัฐประหาร ผ่านการสู้รบในพื้นที่อื่นๆ ของเมียนมา
“หากรัฐบาลไม่จัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ” มินต์ส่วย กล่าวในการประชุมสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติในกรุงเนปิดอว์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์รัฐ The Global New Light “มีความจำเป็นต้องควบคุมปัญหานี้อย่างระมัดระวัง”
The Global New Light ระบุว่า มินอ่องหล่ายน์ ผู้นำรัฐประหารเมียนมา ได้เปิดการประชุม พร้อมกับกล่าวถึงสถานการณ์สู้รบในพื้นที่รัฐฉานทางตอนเหนือ ว่ากองทัพเมียนมา “สามารถควบคุมสถานการณ์ได้สำเร็จ” หลังจาก “การโจมตีอย่างมีนัยสำคัญต่อ MNDAA (กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา)”
รายงานของ The Global New Light ยังระบุอ้างถึงคำพูดของ มินอ่องหล่ายน์ ที่กล่าวว่า MNDAA เป็นกลุ่มที่มีตัวเลขการเสียชีวิตจำนวนมาก จากการโจมตีของกองทัพเมียนมา ทั้งนี้ MNDAA เป็นหนึ่งในหลายกลุ่มภายในพันธมิตร ซึ่งรวมถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) และกองทัพอาระกัน (AA)
อย่างไรก็ดี สมาชิกของพันธมิตร MNDAA กล่าวว่า พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อขจัด “เผด็จการทหารที่กดขี่” พร้อมทั้งยุติธุรกิจหลอกลวงทางไซเบอร์ที่กำลังเฟื่องฟูในพื้นที่ดังกล่าว
ในอีกทางหนึ่ง รัฐบาลจีนยังได้กดดันกองทัพเมียนมา ให้มีการปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนของรัฐฉาน พร้อมกันนี้ หวังเสี่ยวหง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะจีน ยังได้เดินทางเยือนเมียนมาในช่วงหลายวันหลังจากการสู้รบปะทุขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่
นอกจากนี้ ความไม่มั่นคงในรัฐฉานและรัฐอื่นๆ ของเมียนมา ยังส่งผลให้การค้ายาเสพติดผิดกฎหมายขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ที่มา: