ไม่พบผลการค้นหา
ตกใจครับ เมื่อเห็น BBC พาดหัวข่าวออกมาเมื่อเช้า 18 ธ.ค.2560 ตามเวลาบ้านเรา

Could Aung San Suu Kyi face Rohingya genocide charges?

อองซาน ซูจี สามารถที่จะโดนข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาได้รึไม่ 

ไม่ตกใจไม่ได้ครับ เพราะ อองซาน ซูจี เธอเป็น เทพธิดาแห่งประชาธิปไตย ของชาวเมียนมา และจะว่าของชาวศิวิไลซ์ทั่วโลกก็ได้ จากการที่เธอได้ยืนหยัดสู้กับเผด็จการทหารเมียนมายาวนานมาก ถูกขังไว้ในบ้านกว่าค่อนชีวิต ทำให้ชาวโลกศิวิไลซ์เอารางวัลมากมายไปมอบให้เธอ แล้ววันนี้กลับมีคำถามขึ้นมาว่า ซูจี จะโดนข้อหาร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรงฮิงญาในเมียนมารึไม่  มันก็ต้องตื่นเต้นครับ

ฉลามเขียว ก็รู้ คนไทยไม่สนใจเรื่องราวของโรฮิงญา ไม่อ่านข่าวนี้กันเลย แล้วผมเอามาเขียนทำไม เขียนแล้วจะมีคนไทยอ่านรึ ก็ขออธิบายว่า ผมแตกประเด็นมาโยงผู้คบค้ากับเผด็จการทหารจะเจออย่างนี้

ผมเริ่มเป็นนักข่าวเมื่อปี 2522 ได้ลิ้มรสช่วงปลายของความสยดสยอง ฆ่าหมู่นักศึกษาประชาชน ในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผมได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปทำข่าวการพิจารณาคดี นักศึกษาที่ถูกจับมาจากธรรมศาสตร์ วันฆ่าหมู่ 6 ตุลาคม 2519 ใช้สถานที่ กรมพลาธิการทหาร ถนนติวานท์  ปากทางถนนสนามบินน้ำ เป็นที่ตั้งศาลชั่วคราว นั่งรถเมล์หวานเย็นไปทำข่าวครับ  ตอนนั้นถนนเป็นยางมะตอย 2 เลน ถือว่าไกลมาก  แต่ผมก็ไปศาลทุกนัดตามหน้าที่ ทำให้ได้รู้จัก “พี่สุธรรม แสงประทุม”

หัวหน้าข่าวของผมในขณะนั้นคือ มนตรี จึงศิริอารักษ์” 1 ใน 13 ผู้ต้องหาแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ที่ถูก รัฐบาลถนอม-ประภาส-ณรงค์ จับขังตั้งข้อหากบฏ  อันเป็นต้นเหตุให้ประชาชนลุกฮือลงถนนราชดำเนิน เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 โค่นเผด็จการทหารที่แข็งแกร่งในไทย ทำให้ผมซึมซาบความเป็นประชาธิปไตย  และต่อๆมานักข่าวรุ่นพี่ของผมทุกคน รวมทั้งผู้อาวุโสในวงการนักข่าวก็สั่งสอนผมไว้ “นักข่าวจะต้องยืนอยู่ตรงข้ามเผด็จการ” 

ผมจึงตกใจครับ เมื่อได้อ่านข่าว อองซาน ซูจี เทพธิดาประชาธิปไตย อาจจะโดนดำเนินคดีร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาในเมียนมา

มันเป็นผลจากการคบค้าเผด็จการทหาร

ตามปกติ ผมไม่ให้ความสำคัญทุกโพลทางการเมือง ไม่ให้ความสำคัญข่าวการเมืองในวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดราชการเป็นวันที่ข่าวการเมืองน้อย ทำให้ใครๆออกข่าวในวันนี้เพราะมั่นใจยังไงสื่อกระแสหลักก็เอาข่าวไปลง เพราะมันไม่มีข่าว ก็ได้ผลดีมาตลอด รวมทั้งข่าวล่าสุด มีหลายคนเตรียมการกันอยู่  จะตั้งพรรคการเมืองให้ทหาร ชู “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นหัวหน้า พรรคประชารัฐ

ผมไม่วิเคราะห์ข่าวนี้หรอกนะครับ เพราะเช้า 18 ธ.ค.2560 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรณ ท่านก็ไม่หลบนักข่าวแล้ว ยืนให้สัมภาษณ์ยาวๆก่อนขึ้นทำงานที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตอบเรื่องการเมือง เรื่องนักเรียนเตรียมทหาร เรื่องโจรใต้ปล้นเผารถทัวร์เบตง แต่ไม่ตอบเรื่องแหวนเพชรกับนาฬิกา

“ใครจะตั้ง ไม่มี ไม่เห็นมีเลย”

พลเอกประวิตรตอบคำถามจะตั้งพรรคประชารัฐให้สมคิดเป็นหัวหน้าพรรค

และเช้าเดียวกัน รองนายกฯสมคิด ก็ยิ้มส่ายหน้าให้นักข่าว เมื่อถูกถามประเด็นเดียวกัน และเมื่อถามว่ามองเรื่องนี้อย่างไร สมคิดตอบว่า “ไม่มองอะไร” ยิ้มแล้วก็เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

จะตั้งพรรคประชารัฐ เป็นข่าวที่อ่านยังไงผมก็ไม่ตื่นเต้น พรรคการเมืองในลักษณะนี้ รสช.เคยทำมาก่อนแล้วครับ “พรรคสามัคคีธรรม” มันไปไม่รอด

แต่ท่านก็กำลังพยายามกันอยู่นะ ให้แก้กฎหมายพรรคการเมือง ให้ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ซึ่งผมก็ไม่ตื่นเต้น เพราะประชาชนไทยเริ่มโห่กันแล้ว “ส.ส.โสเภณี” โดยเฉพาะคนทางใต้พูดดัง ขวางความพยายามยื้อเลือกตั้ง  ในขณะที่คนอีสาน คนเหนือ คนภาคกลาง เฉยอยู่ 

กลับมาหาประเด็น Could Aung San Suu Kyi face Rohingya genocide charges? กันนะครับ มันต้องตื่นเต้นเพราะคนที่พูดเรื่องนี้คือ  Prince Zeid bin Ra'ad Zeid al-Hussein มีตำแหน่งเป็น the current United Nations High Commissioner for Human Rights, ใหญ่มากในกิจการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ 

Zeid Ra'ad Al Hussein, is determined that the perpetrators of the horrors committed against the Rohingya face justice.

He's the head of the UN's watchdog for human rights across the world, so his opinions carry weight.

It could go right to the top - he doesn't rule out the possibility that civilian leader Aung San Suu Kyi and the head of the armed forces Gen Aung Min Hlaing, could find themselves in the dock on genocide charges some time in the future.

ในการเสนอรายงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เจ้าชายไม่ได้ขีดออกถึงความเป็นไปได้ที่ผู้นำพลเรือนในรัฐบาลเมียนมาอย่าง อองซาน ซูจี จะโดนดำเนินคดีร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาในเมียนมาในอนาคต ร่วมกับผู้นำกองทัพเมียนมา อย่าง นายพล มิน ออง หล่าย

เจ้าชายรายงานว่า อองซาน ซูจี คือ ผู้นำสูงสุดตัวจริงของรัฐบาลเมียนมาปัจจุบัน

ในรายงานกล่าวว่า เจ้าชายได้เจรจากับซูจีตั้งแต่ตุลาคม 2016 เมื่อการฆ่าโรฮิงญาในรัฐยะไข่เริ่มขึ้น ให้ซูจีหยุดยั้งกองทัพ แต่เธอไม่ทำ

พร้อมแสดงหลักฐานว่านี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีการเตรียมการฝึกอบรมเด็กหนุ่มในท้องถิ่นให้เรียนรู้วิธีการของทหาร ให้ใช้อาวุธอย่างเดียวกับทหารในกองทัพ  แล้วกำลังรบหลักของกองทัพก็เคลื่อนเข้าตีโรฮิงญาในยะไข่  อ้างว่าตอบโต้ที่โดนกองโจรโรฮิงญาโจมตีก่อน 

สำหรับนักอ่านข่าวชาวไทยที่รู้ภาษาอังกฤษผมลิงค์ข่าวของ BBC มาลงไว้ในนี้แล้วนะครับ เชิญอ่าน

แล้วผมก็ขอจบข้อเขียนวันนี้ลงที่

สมคบเผด็จการทหาร ไม่ว่าความผิดใดที่ทหารก่อขึ้น ผู้เป็นพลเรือนก็จะได้รับโทษเดียวกัน

หนาวมั๊ย

ฉลามเขียว

18 ธันวาคม 2560








ฉลามเขียว
0Article
0Video
0Blog