จนทำให้ข่าว ที่จากเดิมมีแค่สื่อไทยนำเสนอ สื่อเมืองนอกก็หันมาสนใจ กระทั่งให้ฉายา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าเป็น The Rolex General
หลังจากนั้น เหล่าคนเคยรัก อดีตกองหนุนหลายๆ คน ก็ออกมากดดันเรียกร้องให้ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ลาออกจากตำแหน่ง ในทำนองสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
ไม่ว่ารสนา โตสิตระกูล - กนก รัตนวงศ์สกุล - นิติพงษ์ ห่อนาค หรือกระทั่งเพื่อนร่วมโรงเรียนเซนต์คาเบรียลอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
จนน้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกมาใช้เครดิตตัวเองปกป้องพี่ชายอีกครั้ง ด้วยการบอกว่า นี่ “เป็นแค่เรื่องส่วนตัว” และไม่เกี่ยวข้องกับการ “ใช้งบประมาณแผ่นดิน” ที่ยิ่งเรียกเสียงโห่ฮา เพราะการยื่นบัญชีทรัพย์สิน แทบจะเป็นกฎหมายฉบับแรกๆ ที่คนในคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น
แต่ท่ามกลางภาวะถูกไล่เข้ามุมอับ จนกรุงเทพโพลล์ระบุว่า ตัวบิ๊กตู่เองมีคะแนนนิยมต่ำที่สุดนับแต่เคยจัดอันดับมา คือ 37%
“กองหนุน” ตัวจริง ก็มาปรากฏตัว อย่างได้จังหวะจะโคน
ไม่ใช่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ที่ออกมาส่งเชียร์หลังเข้ามอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาในคดีกบฏที่ศาล
และยิ่งไม่ใช่ ป.ป.ช. ซึ่งถูกสังคมจับตาเรื่องความเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร แม้ตัวเลขาฯจะพูดเป็นนัยๆ ว่า หากเป็นนาฬิกาของเพื่อน ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งไว้ในบัญชี
ทว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อ คสช. มายาวนานขึ้นปีที่สี่เช่นกัน อย่าง “สนช.”
และผลงานชิ้นโบว์แดงล่าสุดของ สนช. ก็คือการขยายระยะเวลาการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน ผ่านการแก้ไข พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำครั้งนี้มี “ใบสั่ง” จาก คสช. ไหม แต่หากย้อนที่มาของ สนช. ทุกคน ไม่ว่าจะตัวประธาน รองประธาน ไปจนถึงสมาชิกธรรมดา ซึ่งทั้ง 100% ถูก คสช. แต่งตั้งให้เข้ามา ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีใบสั่งใดๆ
สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือคำถามของ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ว่าการขยายระยะเวลาการเลือกตั้งออกไป จะเข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” หรือไม่
เพราะไม่เพียงตัว พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งปัจจุบัน “รับเงินเดือน 2 ทาง” คือในฐานะนายกฯ และหัวหน้า คสช. จะได้รับเงินเดือนเพิ่ม ในช่วงต่อเวลา
สมาชิก สนช.อีก 250 คน ก็จะได้รับเงินเดือนต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน คิดเป็นเงินมากกว่า 85 ล้านบาท
ที่สำคัญ หากการเลือกตั้งขยายไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2562 อย่างที่หลายฝ่ายคำนวณ กว่าจะมีสภาชุดใหม่ก็น่าจะใช้อีกเวลาอีกราว 1-2 เดือน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับ สนช. ชุดปัจจุบัน จะอยู่ในตำแหน่งถึง 4 ปี 9 เดือน มากกว่า วาระตามปกติของ ส.ส. ปกติ ไปนานโขอยู่
ซึ่งสมาชิกรายใดอยู่มาตั้งแต่ชุดแรกๆ ก็จะได้รับเงินเดือนไปแล้วราว 6.5 ล้านบาท แต่หากเป็น ประธาน สนช. อย่าง พรเพชร วิชิตชลชัย ก็จะได้รับเงินเดือนราว 7.1 ล้านบาท ไม่รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่คำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้ หรือการแต่งตั้งที่ปรึกษา-เลขานุการ-คณะทำงาน ซึ่งเคยเป็นข่าว เรื่องตั้งญาติๆ มากินเงินหลวง
หากมีใครตั้งรางวัล “กองหนุนดีเด่น” ก็น่าจะพูดได้ว่า ไม่น่าจะมีหน่วยงานใดเกิน สนช. อีกแล้ว จากผลงานการผ่านกฎหมาย (ซึ่งกว่า 90% มี ครม. หรือ คสช. เป็นผู้เสนอ) ไปแล้วกว่า 267 ฉบับ บางฉบับผ่านรวดเดียวสามวาระ ทั้งๆ ที่เป็นกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณ บางฉบับนอกจากยกมือโหวตให้ผ่านสบายๆ แล้ว ยังกล้าปรบมือให้กับผู้เสนอ ได้แก่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เองอีกต่างหาก
แต่งานอื่นๆ ของ สนช. เช่นตรวจสอบรัฐบาล ผ่านกลไกของคณะกรรมาธิการ ผ่านการตั้งกระทู้ถาม หรือผ่านการอภิปราย กลับแทบไม่มีให้เห็น
นี่จึงเป็นภาวะ “ไร้ฝ่ายค้าน” ดังที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศ
แต่เชื่อว่ากองหนุนมืออาชีพอย่าง สนช. คงไม่อยากเสียสละตัวเข้าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์แค่จนถึงปี 2562 เป็นอย่างน้อยเท่านั้น และคงจะดีไม่น้อย หากได้หนุนต่อในบทบาทใหม่ๆ อย่าง “ส.ว.แต่งตั้ง” เผื่อในกรณีที่เจ้าตัวกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย จะได้หนุนกันไปยาวๆ อีก 5 ปี
ซึ่งหากใครโชคดี ได้ไปต่อ ก็จะได้รับเงินเดือนอีกอย่างน้อย 6.8 ล้านบาท ถ้าอยู่ได้จนครบวาระ