หลังสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกรณี ครอบครัวการติดตามหากสาเหตุนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 อายุ 18 ปี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560ว่าส่งผลให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงโรงเรียนเตรียมทหารเสียหาย และกล่าวโทษกองทัพ
ล่าสุดวันนี้ (26 พ.ย. 60 ) นายพิเชษฐ -นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อ-แม่และพี่สาวของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ได้ออมมาแถลงข่าวชี้แจงรวมถึงผลการติดตามความคืบหน้าคดี
โดย นายพิเชษฐ บิดาของน้องเมย เริ่มต้นการชี้แจงด้วยการ กราบขอบพระคุญ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมที่ออกมาขอโทษครอบครัว และ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ยังให้โอกาสและความเป็นธรรมกับครอบครัว และยังได้ขอบคุณพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ได้ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นายพิเชษฐ์ ได้ฝากให้ทั้ง3 ท่าน ติดตามให้หาผู้กระทำผิดมาลงโทษ หรือทำให้เกิดความชัดเจนต่อข้อครหา ไม่มีการกล่าวโทษลูกชายที่เสียชีวิตว่า เขามีโรคประจำตัว หรือโดนพ่อแม่บังคับให้มาเรียนเตรียมทหาร หรือกระทั่งบอกว่าเขาพยายามฆ่าตัวตาย
“ผมอยากฝากทั้ง 3 ท่านให้ให้หาคนที่กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ หรือหาความกระจ่างไม่ต้องมากล่าวโทษลูกชายผมที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงอยากฝากตรงนี้ไว้”
อยากทำให้เกิดความชัดเจนต่อข้อครหาต่างไ ไม่อยากให้มีการกล่าวโทษลูกชายผมว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว หรือโดนพ่อแม่บังคับให้มาเรียนเตรียมทหาร หรือกระทั่งบอกว่าเขาพยายามฆ่าตัวตาย
ส่วนกรณีที่ สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า ครอบครัวนายภคพงศ์ หรือ น้องเมยออกมาให้ข่าวจนทำให้โรงเรียนเตรียมทหารเสียหาย นายพิเชษฐ กล่าวว่า รู้สึกน้อยใจในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะ ไม่ได้มาทะเลาะกองทัพ หรือโรงเรียนเตรียมหาร แต่ต้องการให้โรงเรียนเตรียมทหารมีเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ปล่อยละเลยแบบที่ผ่านมา จนเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับลูกชายของตน
“ผมไม่เคยคิดจะทะเลาะกับกองทัพฯ ผมอยู่ในเมืองไทย ผมก็เคารพกองทัพฯเหมือนกัน แต่คนบางคนออกมาให้สัมภาษณ์ ซึ่งก็น้อยใจในเรื่องนี้เช่นกัน”
ส่วนความคืบหน้าของคดี น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของนายภคพงศ์ หรือน้องเมย ได้นำเอกสารผลชันสูตรที่ได้รับจากสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำนวน 2 แผ่นออกมาชี้แจง
น.ส.สุพิชา ระบุว่า ผลการชันสูตรในเอกสารมีข้อมูลตรงกันในเรื่อง กระดูกซี่โครงอันที่ 4หักด้านขาว แต่มีข้อสงสัยจากข้อความที่ว่า ชิ้นเนื้อจากกล้องจุลทรรศน์ พบว่าตับมีอาการคลั่งเลือดเล็กน้อย และ ม้าม มีลักษณะคลั่งเลือด ทั้ง2 อวัยวะเหล่านี้มีอาการคลั่งเลือดขึ้นมาได้อย่างไร อยากได้คำชี้แจงในเรื่องนี้
" ที่ผ่านมามีการชี้แจงว่า การทำซีพีอาร์ 4 ชั่วโมง เพราะทางครอบครัวขอให้พยายามจนกว่าจะไปถึง อาจเป็นสาเหตุของการคลั่งเลือด แต่ครอบครัวเมื่อได้สอบถามไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุแล้วระบุว่า แม้จะมีการทำซีพีอาร์ 4 ชั่วโมง ก็ไม่น่าจะไปถึง ม้ามกับตับ เพราะค่อนข้างจะไกลกัน จึงอยากได้คำชี้แจงตรงนี้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรกันแน่ " น.ส.สุพิชา พี่สาวน้องเมย ระบุ
นอกจากนี้ น.ส.สุพิชา ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา รพ.พระมงกุฏ ได้ออกมาแถลงข่าวบอกว่า พบเซลล์ในหัวใจของน้องเมยโตผิดปกติจากเด็กอายุ 18-19 ปี โดยทั่วไป แต่อยู่ในระดับนิวเคลียส ซึ่งมันเล็กมาก จนยังไม่ได้ขยายตัวในระดับที่จะก่อโรค
ดังนั้นจึงอยากได้คำชี้แจงในเรื่องนี้เพราะหากน้องเมยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจโตจริงๆ ทางครอบครัวก็สามารถยอมรับได้ แต่ในส่วนที่น้องเมยมีรอยซ้ำประกอบกับการเป็นหัวใจโต เรายังคงต้องสืบหาต่อไปว่าใครทำร้ายน้อง และสาเหตุดังกล่าวต่อเนื่องกันจนทำให้น้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
"ต้องท้าวความไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค.60 ได้พา น้องเมยไปรักษาที่ รพ.สมิติเวช ศรีราชา เพราะน้องบอกว่าเขาตกบันไดมา มีการเอ็กซเรย์ตรงขนาดของหัวใจแพทย์ระบุว่าขนาดเท่าปกติของคนทั่วไป ขณะนั้นก่อนการเสียชีวิต 4 วันยังไม่มีจุดบ่งชี้ว่าผนังหัวใจน้องโตผิดปกติ ซึ่งไม่รู้ภายใน 4 วัน จะสามารถทำให้หัวใจโตได้เลยหรือไม่ จึงต้องหาข้อเท็จจริงตรงนี้ต่อไป"
แค่ออกมาหาข้อเท็จจริงไม่ได้โจมตีกองทัพ หรือโรงเรียนเตรียมเสียหาย
น.ส.สุพิชา ได้ยืนยันว่า การออกมาหาข้อเท็จจริงในครั้งนี้ไม่ได้โจมตีกองทัพ หรือโรงเรียนเตรียมเสียหาย แต่การออกมาครั้งนี้เพื่อมาหาข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต
“ ทุกคนรักโรงเรียน และออกมาบอกว่าไม่มีใครทำร้ายน้อง แต่ รอยซ้ำที่ครอบครัวเจอ มันเกิดจากอะไร อยากเก็บไว้ให้เป็นคำถาม สุดท้ายคือทางบ้านไม่มีใครที่คิดจะให้ร้ายโรงเรียนเตรียมทหารเลย เพราะเป็นสถานบันที่น้องเมยได้ใช้ชีวิต ได้เรียนในช่วงสุดท้ายของชีวิต "
ส่วนในรูปคดี น.ส.สุพิชา กล่าวว่า ได้มีการติดตามความคืบหน้าตลอด อย่างต่อเนื่องและให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฏหมาย ส่วนการตรวจชันสูตรของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์อยู่ระหว่างการประชุมเพราะได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจมาเข้าร่วมด้วย และหากจะเริ่มผ่าเมื่อไหรทางสถาบันฯจะให้ทางครอบครัวเข้าร่วมดูการผ่าชันสูตรด้วย ซึ่งหลังจากนั้นอีก 7 วันถึงจะทราบผล