กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย อดีต รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ของปีนี้ ขยายตัวได้ 7.5% แม้จะดูเหมือนว่าจะดี แต่ความจริงคือ ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ทรุดหนักติดลบหนักที่สุดโดยติดลบถึง -12.2% การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ปีนี้ จึงมีความสำคัญมาก แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร หลังจากที่ไตรมาสแรกติดลบไปแล้วถึง -2.6% ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้ยังคงมีโอกาสที่จะติดลบอยู่ เพราะในไตรมาส 3 นี้ยังคงจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการล็อกดาวน์ และอาจจะต้องล็อกดาวน์ยาวไปถึงไตรมาส 4 เลยก็ได้ ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ก่อนหน้าแล้ว แม้ สภาพัฒน์ จะคาดการณ์ว่าอาจจะขยายได้ 0.7-1.2% แต่ ในภาคเอกชน นักวิชาการ ตลอดจนนักลงทุนต่างประเทศ เห็นว่ามีโอกาสจะติดลบได้สูง
โดย คณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดเศรษฐกิจไทยจะติดลบได้ถึง -1.5% และนักลงทุนต่างประเทศ 70% คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบ อีกทั้ง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดเศรษฐกิจไทยจะติดลบ-2% และอาจจะติดลบถึง-4% ได้ถ้ายังต้องล็อกดาวน์ต่อไป ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยจะต้องติดลบสองปีติดกัน หลังจากที่ปีที่แล้วที่ติดลบ -6.1% จะทำให้ประชาชนมีความลำบากอย่างมาก ธุรกิจจะเจ๊งและล้มละลายกันมาก คนตกงานจะพุ่งสูง คนจะฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจกันมาก ถ้าไม่ตายด้วยไวรัสโควิดเสียก่อน
ดังนั้น ความล้มเหลวในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งความล้มเหลวในการควบคุมการระบาด ความผิดพลาดในการบริหารวัคซีน ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจมาตลอด 7 ปี โดยต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจหลายชุดแต่ก็ไม่ดีขึ้น จะส่งผลให้ประเทศไทยเสื่อมถอยและล้มเหลวจนกลายเป็นประเทศที่จะฟื้นตัวช้าที่สุดจากการจัดอันดับของสื่อหลักญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย โดยปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังตอบไม่ได้เลยว่า จะต้องล็อกดาวน์อีกกี่เดือน วัคซีนคุณภาพจะมาเมื่อไหร่ เศรษฐกิจจะทรุดหนักขนาดไหน ประชาชนจะทนอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้อย่างไร เหมือนประเทศไทยไม่มีทิศทาง และไม่มีผู้นำแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับตัวเองว่าหมดสภาพการนำประเทศนี้แล้ว ทุกอย่างมีแต่จะแย่ลง โดยล่าสุด ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาเสนอให้รัฐบาลกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดมานานกว่า 1 ปี โดยประชาชนขาดรายได้ไปกว่า 2.6 ล้านล้านบาท และ หนี้ครัวเรือนได้พุ่งขึ้นสูง
"คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับแนวคิดว่าควรจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ แต่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ไม่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะใช้เงินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ได้" กฤษฎา ระบุ
ทั้งนี้ เพราะเมื่อพิจารณาย้อนหลัง จากการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจได้เลย พล.อ.ประยุทธ์ยังติดวิธีคิดเดิมๆ ที่ บริหารด้วยการโดนด่า ถูกด่าก่อนถึงจะคิดทำ โดยไม่มีการคิดและวางแผนล่วงหน้า บริหารแบบรอวันเจ๊ง แบบปล่อยให้ประเทศและประชาชนเป็นไปตามยถากรรม ไม่มีทิศทางและขาดวิสัยทัศน์ และ ไม่สามารถเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องที่ทำได้เลย กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท แต่กลับไม่นำไปซื้อวัคซีนที่มีคุณภาพเข้ามาฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึง จนเกิดการระบาดรอบใหม่ ทำให้คนเจ็บคนตาย และ เศรษฐกิจพังพินาศ ขนาดทุกอย่างเละเทะแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว. กลาโหม ยังปล่อยให้กองทัพเรือเสนอซื้อเรือดำน้ำเข้ามาได้ แม้ต่อมาจะถอนเรื่องออกไปก็ตาม แค่เรื่องเท่านี้ก็พอรู้ได้แล้วว่า ถ้าให้พลเอกประยุทธ์กู้มาอีกก็จะไม่เกิดประโยชน์ ประเทศไทยจะมีหนี้สาธารณะมากขึ้น แต่เศรษฐกิจจะไม่ฟื้น
พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะต้องเริ่มต้นจากการลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นทั้งหมด งบทหาร การเกณฑ์ทหาร และ งบซื้ออาวุธ บ้างต้องลดและบ้างต้องยกเลิกไปเลย กล้าหรือไม่ ก่อนที่จะคิดกู้เพิ่ม เริ่มฝึกใช้เงินให้มีประสิทธิภาพก่อนจะดีไหม ถ้าจะกู้มั่วๆแล้วถึงตอนนั้นจะไปขึ้นภาษีแวตเป็น 10% จะถูกประชาชนด่ากันทั้งเมือง และคงจะขึ้นภาษีแวตไม่ได้แน่ เพราะประชาชนจะไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ว่าการ ธปท. ได้ศึกษาการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะแนะนำ เพราะแม้แนวคิดจะดี แต่ถ้าคนทำไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ไม่เกิดประโยชน์ จะเสียหายเพิ่มขึ้นเปล่าๆ โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงได้รัฐบาลใหม่ที่มีคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหาร จึงควรจะเร่งกู้เพื่อเร่งแก้ปัญหา
"ในภาวะเช่นนี้ ประเทศต้องการผู้นำที่เชื่อถือได้ มีหลักคิดดี มีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล ที่จะนำพาประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤตและพัฒนาต่อไปได้ ผู้นำที่พิสูจน์แล้วว่าไร้ความสามารถไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้ และจะยิ่งเพิ่มปัญหา หมดเวลาสำหรับผู้นำที่หมดสภาพแล้ว และพล.อ.ประยุทธ์จะต้องรู้ตัวเองได้แล้ว" กฤษฎา ระบุ