“ถ้าดีเอสไอมีความตั้งใจที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาอย่างที่ควรจะเป็น เพียงแค่เรียกสอบพยานวันละ 4-5 คน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เสร็จสิ้น ไม่ได้เสียเวลาแต่ประการใด แต่ทางดีเอสไอ กลับตัดพยานสำคัญออกเกือบหมด เหลือไว้เพียง 8 คนเท่านั้น”
นายพานทองแท้ระบุในเฟซบุ๊กของเขาว่าเขายื่นพยานบุคคลไปทั้งสิ้น 20 คนแต่ถูกตัดออกเหลือเพียง 8 คน และบอกด้วยว่า พยานหลายคนที่ถูกตัดออกไปนั้นคืออดีตเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของดีเอสไอ ที่จะมาให้ข้อเท็จจริงได้ว่า ในทางคดีนั้น ตัวเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย และไม่เคยกระทำการใดๆ ที่จะเป็นความผิดในคดีฟอกเงินทั้งสิ้น
โดยหนึ่งในพยานที่ถูกตัดออก คืออดีตเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของดีเอสไอที่ถูกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม และยังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ เนื่องจากทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา และอาจทำงานไม่ตอบสนองกลุ่มบุคคลที่ถูกส่งมากำกับดูแล และคอยชักใยอยู่เบื้องหลังเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ ให้รีบสอบสวนเพื่อเอาผิดคดีนั้น แต่ยกเว้นยังไม่ต้องทำคดีนี้ อยู่ตลอดเวลา
“ถ้าดีเอสไอมีความตั้งใจที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาอย่างที่ควรจะเป็น เพียงแค่เรียกสอบพยานวันละ 4-5 คน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เสร็จสิ้น ไม่ได้เสียเวลาแต่ประการใด แต่ทางดีเอสไอ กลับตัดพยานสำคัญออกเกือบหมด เหลือไว้เพียง 8 คนเท่านั้น”
ทั้งนี้นายพานทองแท้ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นการปฏิบัติไปตาม “ธง” ซึ่งกระทบกับความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมและยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การปรองดองเกิดไม่ได้จริง
“รัฐบาลที่คอยแอบสั่งหน่วยงานของรัฐ ให้คอยเป็นมือ-เป็นเท้าในการกระทืบฝ่ายตรงข้าม และสั่งให้ “ลดราวาศอก” เพื่อช่วยฟอกขาวให้กับพวกของตน อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้ไม่ทันครับ เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่มีความรู้ความสามารถ ยึดหลักการของการทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ท่านเล่นย้ายออกไปแทบจะหมดสิ้น แบบนี้หรือคือ ธรรมาภิบาลของการเข้ามาสร้างความปรองดองให้กับคนในชาติ..!!
“ผมต้องปกป้องสิทธิของผม ด้วยการให้ทนายไปยื่นหนังสือ เพื่อขอให้ทบทวนการตัดพยานบุคคลที่ผมได้อ้างไว้ในคำแก้ข้อกล่าวหาของผมอีกครั้งครับ” นายพานทองแท้ระบุทิ้งท้ายในโพสต์
“วัดกันดูครับ ระหว่าง
“ธง” จากผู้มีอำนาจ
กับ “ความถูกต้อง”
DSI จะเลือกทางไหน??”
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร และนายพานทองแท้ถูกออกหมายเรียกให้มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์ของนายพานทองแท้ยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน เพราะคดีทุจริตธนาคารกรุงไทย เป็นความเกี่ยวพัน 3 กลุ่ม คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และบริษัทกฤษดามหานคร ซึ่งนายพานทองแท้ เป็นบุคคลภายนอก ประกอบกับเช็ค 10 ล้านบาท ที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร สั่งจ่ายให้นายพานทองแท้ ได้มาก่อนมีการตรวจสอบการขออนุมัติสินเชื่อ และนายพานทองแท้ก็ไม่ทราบว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด และไม่มีเจตนาซุกซ่อนอำพรางทรัพย์สิน อีกทั้งก็ไม่ทาายว่าทรัพย์ดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด พฤติการณ์ของนายพานทองแท้ยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน
ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ข่าวสด ลงข่าวเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาอ้างแหล่งข่าวระบุว่าได้มีการเผยแพร่เอกสารที่เป็นสำเนาจดหมายร้องทุกข์ของพ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ อดีตรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอซึ่งเขียนไว้เมื่อ 29 พ.ย. 2559 ถึงประธานคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เนื้อหาเป็นเรื่องการร้องทุกข์กรณีถูกสั่งย้ายออกจากตำแหน่งไปสังกัดสำนักงานสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนพ.ย. 2559 ว่าไม่เป็นไปตามขั้นตอน เร่งรีบผิดปกติ ลดบทบาท หน้าที่ และศักดิ์ศรีทำให้ได้รับความเสียหาย รวมทั้งคำสั่งไม่มีเหตุผลอันสมควรรองรับ
ตามเนื้อความในสำเนาจดหมายร้องทุกข์ที่ข่าวสดนำมาลงอ้างว่า ก่อนคำสั่งโยกย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์เองมีความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในเรื่องการแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มพยานคดีพิเศษที่ 36/2550 ทั้งที่หนึ่งในข้อหานั้นหมดอายุความไปแล้ว
จดหมายร้องทุกข์เท้าความถึงคดีทุจริตธนาคารกรุงไทยกรณีให้สินเชื่อแก่บริษัทกฤษฎามหานคร โดยพ.ต.ท.สมบูรณ์รับหน้าที่เป็นประธานคณะพนักงานสอบสวนชุดที่สาม มีอัยการ เจ้าหน้าที่จากธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษา กลุ่มบุคคลที่ถูกสอบสวนคือผู้รับเช็ค 269 ปาก โดยมีบุคคลในกลุ่มการเมืองประกอบด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตร นางเกษิณี จิปิภพ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัย หงษ์เหินและนายมานพ ทิวารีรวมอยู่ด้วย จดหมายกล่าวระบุรายละเอียดของประเด็นการสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายพานทองแท้และนายวันชัยไว้ด้วยว่าเป็นเรื่องของการซื้อขายหุ้นบริษัทช.การช่าง กับกรณีการร่วมทุนระหว่างผู้ต้องหาในคดีทุจริตธนาคารกรุงไทยกับนายพานทองแท้ แต่จากการตรวจสอบของพนักงานสอบสวนในเวลานั้นยังไม่พบหลักฐานการกระทำผิด