นายนิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงานธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ ประเทศไทย หรือ PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Global Family Business Survey 2018 ที่ทำการสำรวจธุรกิจครอบครัวจำนวน 2,953 บริษัท ใน 53 ประเทศทั่วโลกว่า รายได้ของธุรกิจในปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นเลข 2 หลักซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2550 โดยร้อยละ 84 ของผู้บริหารคาดว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่ ร้อยละ 16 ยังมองว่า รายได้จะเติบโตอย่าง "รวดเร็ว" และ "ก้าวกระโดด"
นอกจากนี้ ผลสำรวจประจำปีนี้ยังพบว่า ผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นแรกมีความสามารถในการเพิ่มรายได้ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักมากกว่าผู้นำรุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน
ส่วนอีกร้อยละ 75 ของผู้บริหารธุรกิจครอบครัวเชื่อว่า การมีวัฒนธรรมองค์กรและคุณค่าที่แข็งแกร่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับกิจการได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว โดยร้อยละ 49 ของผู้บริหารได้มีการกำหนดคุณค่าองค์กรโดยเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ผลการดำเนินงานภายใต้การบริหารธุรกิจครอบครัวของผู้นำรุ่นบุกเบิกที่เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักมากกว่ารุ่นอื่นๆ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารความต่อเนื่องของรูปแบบทางธุรกิจกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าการที่องค์กรมีการกำหนดคุณค่าที่ชัดเจนและมีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรยังส่งผลต่อการกำหนดแผนเชิงกลยุทธ์ในเชิงบวก รวมถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งด้วยเมื่อเทียบกับผู้นำในรุ่นปัจจุบัน จะเห็นว่าผู้นำรุ่นนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือแม้แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก
อีกทั้ง เมื่อแบ่งเป็นรายทวีปพบว่า ธุรกิจครอบครัวในทวีปตะวันออกกลางและแอฟริกา แสดงความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้มากที่สุด และร้อยละ 28 คาดว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามด้วยธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก (ร้อยละ 24) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 17) อเมริกาเหนือ (ร้อยละ 16) อเมริกากลางและใต้ (ร้อยละ 12) และยุโรปตะวันตก (ร้อยละ 11)
สำหรับความท้าทาย 3 อันดับแรกของธุรกิจครอบครัวในอนาคตนั้น ประกอบด้วย นวัตกรรม (ร้อยละ 66) การเข้าถึงแหล่งแรงงานที่มีทักษะ (ร้อยละ 60) และการเข้าสู่ดิจิทัล (ร้อยละ 44) โดยร้อยละ 80 ของผู้นำธุรกิจครอบครัวมองว่าปัจจัยเหล่านี้ คือความท้าทายที่มีนัยสำคัญ
ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า ร้อยละ 53 ของธุรกิจครอบครัวที่มีรายได้เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก สามารถระบุหมวดหมู่คุณค่าองค์กรได้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการผสมผสานกลยุทธ์ความเป็นเจ้าของกับกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจครอบครัวเข้าด้วยกัน
นายปีเตอร์ อิงกลิช หัวหน้าสายงานธุรกิจครอบครัว บริษัท PwC โกลบอล และผู้เขียนรายงานร่วม กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่า การกำหนดคุณค่าองค์กรอย่างแข็งขัน จะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติและได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ซึ่งการกำหนดหมวดหมู่คุณค่าองค์กรอย่างชัดเจนจะเป็นเหมือน 'เข็มทิศภายใน' ให้กับธุรกิจครอบครัว ที่สามารถใช้นำทางและก้าวข้ามความท้าทายของการเข้ามาของเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผลสำรวจนี้ชี้ไว้ชัด คือ คุณค่าของธุรกิจครอบครัวกับคุณค่าของครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน โดย "คุณค่า" ของธุรกิจครอบครัว ควรต้องได้รับการกำหนดและมีการสื่อสารอย่างชัดเจน โดยต้องฝังลึกลงไปในวัฒนธรรมขององค์กร รวมถึงต้องมีการทบทวนกระบวนการตัดสินใจในแต่ละวันอยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้ ผลสำรวจธุรกิจครอบครัวของ PwC ยังได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความแตกต่างระหว่างรุ่นที่มีผลต่อการวางแผนส่งมอบกิจการและการวางตัวผู้สืบทอดของธุรกิจครอบครัว
ด้วยธุรกิจครอบครัวและธุรกิจเอกชนมากกว่า 350,000 ราย ที่มีจะต้องมีการส่งไม้ต่อในอนาคต เนื่องจากผู้นำรุ่นปัจจุบันจะเกษียณ จะยิ่งทำให้เกิดความกังวลถึงความต่อเนื่องของการประกอบธุรกิจ โดยผู้นำรุ่นต่อไปจะยิ่งเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ต่างไป ทั้งในเรื่องของผลกระทบจากเทคโนโลยี เช่น เอไอ หุ่นยนต์ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
อย่างไรก็ดี ในรายงานยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของวิธีการทำงานที่มีคุณค่าขององค์กรเป็นตัวนำ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และวิธีการนี้ยังช่วยดึงดูด และเตรียมความพร้อมด้านทักษะให้กับผู้นำรุ่นต่อไปซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล
นายเดวิด วิลส์ หัวหน้าสายงานผู้ประกอบการและธุรกิจเอกชน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวเตือนว่า แม้ว่าผลสำรวจจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจครอบครัว แต่ผลสำรวจระบุว่า ธุรกิจไม่ได้ประสบความสำเร็จตามคาดเสมอไป
แม้ว่าธุรกิจครอบครัวจะมีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จอย่างแรงกล้า แต่การวางแผนเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดบอดของธุรกิจครอบครัวจำนวนมาก โดยร้อยละ 21 ยอมรับว่า ไม่มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์เลย ขณะที่ร้อยละ 30 มีแผนกลยุทธ์อยู่ในใจ แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติการให้เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด ในทางกลับกันร้อยละ 49 ของกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นทางการในระยะกลางร้อยละ 42 ในกลุ่มนี้มีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก นี่แสดงให้เห็นว่า การวางแผนเชิงกลยุทธ์กับการมีผลการดำเนินงานอันเป็นเลิศมีความสัมพันธ์กันชัดเจน ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรูปแบบการปฏิบัติงานที่โดดเด่นแล้ว จะยังเป็นมรดกตกทอดให้กับธุรกิจครอบครัวในรุ่นต่อๆ ไปด้วย
"ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจนั้น ดำเนินไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นแปลว่า ธุรกิจที่มีการเติบโตอยู่ในขณะนี้ อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น ธุรกิจครอบครัวที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 ข้อคือ กลยุทธ์ความเป็นเจ้าของ และกลยุทธ์ทางธุรกิจ"
ขณะที่ นายนิพันธ์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก เพราะมากกว่าร้อยละ 80 ของธุรกิจไทยนั้น เป็นธุรกิจครอบครัวตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ หรืออย่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เองที่ 3 ใน 4 นั้น เป็นธุรกิจครอบครัวเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์ที่ผ่านมานั้น ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ ตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของผู้นำรุ่นที่ 2 และบางครอบครัวเริ่มส่งต่อกิจการให้แก่ผู้นำรุ่นที่ 3 แล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่า กลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ของไทยเหล่านี้ ก็เผชิญกับแรงกดดันและความท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตคล้ายคลึงกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างที่เกิดจากการสร้างความน่าเชื่อถือ และ ช่องว่างในการสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั้ง 2 รุ่นจำเป็นต้องเปิดใจและมีการสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น "ธรรมนูญครอบครัว" ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจครอบครัวไทย เพราะจะเป็นตัวกำหนดกฎ กติกา และเงื่อนไขในการทำงานร่วมกันของสมาชิกครอบครัว รวมทั้งช่วยลดปัญหาของสมาชิกรุ่นต่อๆ ไปที่เข้ามาสืบทอดกิจการ ซึ่งธรรมนูญครอบครัวจะมีได้ ต้องเกิดจากคุณค่าภายในครอบครัว และคุณค่าของธุรกิจครอบครัวที่แข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว และต้องมีจุดสมดุลระหว่างเป้าหมายของกิจการกับความต้องการของครอบครัวด้วย
"ผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ของไทยในหลายองค์กรเริ่มมีการบริหารงานแบบมืออาชีพมากขึ้น ซึ่งจะนำพาองค์กรสู่การมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้ ผลที่ตามมาคือ ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี และจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมาก นอกจากนี้ ยังมีความตื่นตัวในการลงทุนด้านดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่"