นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า จากที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนกรณีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ต่ออายุการซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ออกไปอีก 3 ปีนั้น
นายเรืองไกร เห็นว่า กรณีดังกล่าวมาจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 เรื่องที่ 8 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ประชุม ณ ตึกสันติไมตรี โดยมีมติในข้อ 1. คือ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 – 2568 ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เสนอ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 : SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดสัญญาภายในปี 2560 -2561 (ต่ออายุสัญญา) ระยะเวลา 3 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 12/2560 มีมติในข้อที่ 1. คือ ปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของกลุ่มที่ 1 จากเดิมตั้งแต่ปี 2560 - 2561 เป็น 2559 – 2561 จะเห็นได้ว่า กบง. มีมติปรับปรุงแก้ไขมติของ กพช. ในเรื่องการสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2560 -2561 เป็น การสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2559 -2560 ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งที่มีปัญหาการนับวันครบอายุสัญญากับ กฟผ.ตามมาได้
นายเรืองไกร กล่าวต่ออีกว่า แม้เรื่องนี้จะมีข่าวว่ากระทรวงพลังงานกำลังตรวจสอบแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากประธาน กพช. คือนายกรัฐมนตรี และประธาน กบง. คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังาน กรณีจึงควรร้องให้ ป.ป.ช. หรือ สตง. ตรวจสอบเรื่องนี้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของ กพช. และ กบง. แล้ว อาจจะทำให้เกิดข้อที่ควรตรวจสอบตามมาว่า กพช. และ กบง. มีอำนาจหน้าที่ใดในการมีมติให้ต่ออายุสัญญาดังกล่าวตามมาด้วย
ดังนั้นกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น อาจจะผูกพันโยงใยและเป็นปัญหาไปถึงรัฐวิสาหกิจกลุ่มค้าน้ำมันอีกแห่งหนึ่งด้วย จากข่าวการจะซื้อหุ้นของกิจการของ SPP รายหนึ่งที่อาจได้รับการต่อสัญญาจากมติดังกล่าวด้วย เพื่อให้เรื่องนี้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงจำเป็นต้องร้องขอให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบโดยจะส่งหนังสือให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบเรื่องนี้ในวันที่ 2 ก.ค.2561 ไปทางไปรษณีย์ EMS รวมทั้งในคำร้องได้ขอให้ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ สตง. ตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย