นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่ายังไม่ได้มีการติดต่อเรื่องการถูกเรียกตัวครั้งที่ 12 ตามที่ตนนับ หรือ ครั้งที่ 16 ตามที่พลเอกประยุทธ์นับแต่อย่างใด (พลเอกประยุทธ์อาจจะนับ 3-4 ครั้ง ที่มีการเรียกตัวแต่แล้วก็มีการยกเลิกด้วย)
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ตนเสนอแนะและวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจนี้ เป็นเหมือนการเตือนให้ทุกคนในประเทศตระหนักว่า ประเทศไทยได้เสียโอกาส และเสียหายทางเศรษฐกิจไปมาก เพราะหากไม่มีการประท้วงปิดกรุงเทพฯ และไม่มีปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยต้องดีกว่านี้อย่างแน่นอน ประชาชนต้องมีรายได้เพิ่มและมีความสุขกว่านี้ จึงไม่อยากให้มีการประท้วงและนำมาสู่การปฏิวัติอีกในอนาคต และขอให้ปล่อยให้ระบอบประชาธิปไตยได้ทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อประเทศจะไม่เสียหาย และเศรษฐกิจก็จะก้าวหน้าไปได้
ยกตัวอย่างในประเทศมาเลเซีย ที่ผู้นำรัฐบาลชุดก่อนมีข้อครหาการทุจริตมากโดยเฉพาะในเรื่องกองทุน 1 เอ็ดดีบี ประชาชนมาเลเซียไม่พอใจกันมาก ผู้นำก็ไม่ยอมลาออกและยังลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งอีก สุดท้ายประชาชนก็ลงโทษโดยลงคะแนนเลือกฝ่ายค้านจนชนะการเลือกตั้ง เป็นต้น ซึ่งนายพิชัย เห็นว่าประชาชนไทยก็ไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าประชาชนมาเลเซีย และแม้แต่ในสหรัฐก็มีประชาชนสหรัฐไม่พอใจประธานาธิบดี ทรัมป์ กันเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็จะรอจนกว่ามีการเลือกตั้ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ไม่กระทบ
"หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2549 จะพบความเสียหายยิ่งมากมายเป็นทวีคูณ และหากจำกันได้ว่าก่อนการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้เสนอวิสัยทัศน์ 2020 ไว้ ซึ่งเป็นแนวคิดตามแนวทางทักษิโณมิกส์ในสมัยนั้น ซึ่งจะปรับปรุงประเทศในทุกด้านอีกทั้งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน พ่อค้า แม่ค้า คนระดับรากหญ้า คนระดับกลางและคนระดับบนจะได้รับประโยชน์กันทั้งหมด แต่การพัฒนาต้องมาหยุดลงหลังเกิดการปฏิวัติ"
ดังนั้นจึงอยากให้ประชาชนได้มั่นใจว่า แนวคิดทักษิโณมิกส์ เวอร์ชั่นใหม่ ที่ปรับปรุงตามสภาวะแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลง และ มีเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาเสริมจะนำประเทศไทยก้าวหน้าต่อไปทัดเทียมกับนานาชาติได้ โดยเมื่อมีการปลดล็อก ตนจะเสนอให้พรรคได้พิจารณาเพื่อนำเสนอเป็นนโยบายของพรรคเพื่อให้ประชาชนได้ทราบและมั่นใจในการตัดสินใจลงคะแนนในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้านี้