นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่มีสื่อหลักของญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชียน รีวิว วิจารณ์รัฐบาลในประเทศอาเซียน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยโดยระบุไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามีการใช้ข้ออ้างการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการควบรวมอำนาจของตนเอง และใช้กีดกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนและฝ่ายค้าน ดังนั้นในสถานการณ์ที่การระบาดของไวรัสดีขึ้นตามลำดับ จึงควรที่รัฐบาลจะต้องยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ได้แล้ว และควรจะต้องเริ่มผ่อนคลายให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
นายพิชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องขอชื่นชมความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยที่ทำให้ไทยควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแต่อย่างไร ความจริงคือ พ.ร.ก. ฉุกเฉินกลับเป็นอุปสรรคสำหรับประชาชนในการทำมาหากินและปัญหาในการเดินทางกลับบ้านของประชาชนจำนวนมาก และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังใช้ข่มขู่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาไม่ให้แสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะเรื่องความไม่พอใจในการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลมาตลอด 5 ปีกว่านี้
นอกจากนี้ สื่อหลักญี่ปุ่นยังวิจารณ์รัฐบาลไทยในการใช้เงินจำนวนมากกว่า 58,000 เหรียญ (1.9 ล้านล้านบาท) ว่าจะเป็นการแจกเพื่อหาเสียงให้กับตัวเอง อย่างไรก็ดี เงินที่ใช้เยียวยาประชาชนที่เดือดร้อนถือเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ แม้กระนั้น การเยียวยาของรัฐบาลยังมีปัญหาความไม่ทั่วถึง คนลำบากจำนวนมากไม่ได้รับการเยียวยา แต่เงินกู้อีก 400,000 ล้านบาทที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะไปใช้ฟื้นเกษตรกรและฐานราก เกรงว่าจะเป็นเบี้ยหัวแตก และจะไปซ้ำซ้อนกับโครงการเดิมที่แต่ละกระทรวงมีแผนงานอยู่แล้ว
"สุดท้ายห่วงว่าจะกลายเป็นการนำเงินกู้ก้อนมหาศาลดังกล่าวไปใช้เพื่อเอาใจ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ สส. ของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรักษาตำแหน่งของตนและพวกพ้อง ที่กำลังมีปัญหาความไม่พอใจของ ส.ส. จำนวนมากในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการเปลี่ยน นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ออกจากหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค เพื่อให้เปลี่ยนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งจะรวมไปถึงการจะปลด นายสมคิดออกจากตำแหน่งด้วยจากผลงานการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ดังนั้น จึงอยากให้มีการใช้เงินเพื่อพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อรักษาตำแหน่งเพราะจะเสียเงินโดยไม่เกิดประโยชน์ และประชาชนทั้งประเทศจะต้องมาใช้หนี้ก้อนมหาศาลนี้แทน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องมาแบกภาระอย่างหนักในอนาคต" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า หากมองย้อนหลัง 5 ปี รัฐบาลได้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลโดยอ้างว่าเพื่อช่วยเกษตรกรและฐานราก แต่ความเป็นอยู่ของเกษตรกรและฐานรากกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแถมยังแย่ลงอย่างมาก รายได้หดหายและคนจนกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น และที่พลเอกประยุทธ์บอกเศรษฐกิจไทยจะแย่ไปอีก 9 เดือน ทั้งที่ความจริงคือเศรษฐกิจไทยแย่มาตลอด 5 ปีกว่าแล้ว อีกทั้ง ไม่เคยปรากฏเลยว่าจะมีคนอดอยาก และ ฆ่าตัวตายกันอย่างมากเหมือนในปัจจุบัน และ อีก 9 เดือนก็ยังไม่เห็นว่าจะฟื้นได้อย่างไร ดังนั้นการใช้เงินอีก 4 แสนล้าน เพื่อเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้ผลเหมือนที่รัฐบาลเคยทำมาแล้วตลอดหลายปี ซึ่งอาจจะกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนโครงการเงินกู้ไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือ การเข้าช่วยการบินไทยทั้งที่โอกาสรอดทางธุรกิจมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การต้องพัฒนาวิสัยทัศน์ให้เห็นว่าอนาคตของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังวิกฤตไวรัส แล้วพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับอนาคต โดยมุ่งเน้นการปรับระบบราชการ การสร้างธุรกิจในแนวทางใหม่และการเพิ่มการจ้างงาน โดยที่การว่างงานของคนจำนวนมากประมาณ 7-10 ล้านคน จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต และรัฐบาลยังไม่มีแนวทางที่จะรับมือแต่อย่างไร