นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปนายกรัฐมนตรีโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่า เป็นสิทธิฝ่ายค้านสามารถดำเนินการได้ซึ่งในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำได้ปีละครั้งและถือเป็นครั้งแรกที่ ส.ส.มีสิทธิ์เข้าชื่อ 1 ใน 10 เพื่อยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติเพราะก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดเงื่อนไขการ ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปไว้ว่า ผู้ที่จะดำเนินการได้คือนายกรัฐมนตรีกรณีที่เห็นว่ามีการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ จำเป็นต้องขอความเห็น โดยจะเป็นการประชุมร่วมรัฐสภาและอีกช่องทางหนึ่งคือ ส.ส.เป็นผู้ยื่นญัตติแต่รัฐธรรมนูญปี 60 ได้ เพิ่มสิทธิในการยื่นญัตตินี้ให้กับส.ส.ด้วยและ 7 พรรคฝ่ายค้านที่ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อร่างใหม่เป็นกลุ่มแรกที่ได้ใช้ประโยชน์ จากมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญปี 2560
หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า ประเด็นที่ฝ่ายค้านขอยื่น ญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปนอกจากการถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนแล้วยังมีกรณีแถลงนโยบาย ไม่ระบุที่มา งบประมาณ ก็เป็น บทบัญญัติใหม่ที่เขียนในรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อ จำกัด ให้รัฐบาลมีความรับผิดชอบ ต่อนโยบายของตัวเองด้วยการกำหนด แหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ฉบับอื่นไม่มี
"รัฐธรรมนูญปี 60 อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีหลายเรื่องที่ก้าวหน้าเช่น กรณี ให้ส.ส.ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติได้และรัฐบาลต้อง กำหนดที่มาของงบประมาณในการแถลงนโยบายซึ่งฝ่ายค้านได้ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของรัฐธรรมนูญใน 2 มาตรานี้อย่างเต็มที่ จึงอยากให้ฝ่ายค้านทบทวนแนวคิดที่จะรณรงค์นอกสภาเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ควรแก้ไขเฉพาะในประเด็นที่เป็นปัญหา อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเป็นความร่วมมือของสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ว.และส.ส.โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เพื่อให้ได้ฉันทามติจากประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่นำมาเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีกลุ่มและขบวนการที่รอจังหวะพร้อมนำเรื่องนี้ไปขยายผลปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต" นพ.ระวี กล่าว