นายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงนามเห็นชอบกรณีที่ทางกระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือถึงประธาน สนช. ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เพื่อขอใช้พื้นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 1989 แขวงบางลำพู เขตคลองสาน กทม. โฉนดเลขที่ 869,870 และ 3400 เพื่อใช้ในการก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ซึ่งนายพรเพชรได้เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยขอมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พื้นที่ราชพัสดุแปลงนี้ ทางสำนักงานสภาผู้แทนราษฏรและทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึงกรมธนารักษ์เพื่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าวและได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ กรมธนารักษ์, สำนักงานสภาผู้แทนราษฏรและทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อนำพื้นที่ราชพัสดุนี้เพื่อก่อสร้างอาคารที่พักสวัสดิการข้าราชการรัฐสภา โดยระหว่างนี้อยู่ในการตรวจสอบรังวัดจัดทำแผนที่ แต่กลับเห็นชอบให้พื้นที่ดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือที่กรมธนารักษ์ส่งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เพื่อชี้แจงข้อติดขัดในการขอใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ เนื่องจากได้เห็นชอบให้สำนักงานสภาผู้แทนราษฏรและทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาใช้เพื่อสร้างที่พักสวัสดิการของข้าราชการรัฐสภาไปแล้ว จึงขอให้ทั้งกระทรวงมหาดไทยไปประสานงานกับ 2 หน่วยงานดังกล่าว เพราะกรมธนารักษ์ไม่ขัดข้องที่จะให้ใช้พื้นที่ ซึ่งวันเดียวกันทางกระทรวงมหาดไทยก็ได้ทำหนังสือถึงนายพรเพชรเพื่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าว และนายพรเพชรก็ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นที่ข้องใจของข้าราชการเป็นอย่างมาก เพราะมีการดำเนินการเพียงวันเดียว อนุมัติและลงนามโดยนายพรเพชร ไม่ได้มีการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการจัดทำข้อมูลสร้างบ้านพักสวัสดิการข้าราชการรัฐสภาเลย เพราะหลังจากนั้นนายพรเพชรก็ลาออกจากเป็นสมาชิก สนช. และได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวของนายพรเพชร ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ข้าราชการรัฐสภา ถึงความไม่เหมาะสม เร่งรีบจนเกินไป เพื่อประโยชน์อื่นใดหรือไม่ และไม่เห็นใจข้าราชการที่มีรายได้น้อยที่ต้องการที่ต้องการบ้านพักสวัสดิการ อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนจะไปก่อสร้างพื้นที่ไหนอย่างไร ซึ่งกว่าทุกอย่างจะลงตัวในการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุแปลงนี้ก็ต้องมีการประชุมร่วมกันหลายฝ่ายเพื่อพิจารณาหลายครั้ง อีกทั้งควรจะรอให้ประธานรัฐสภาคนใหม่เป็นผู้ตัดสินใจมากกว่า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของสวัสดิการของข้าราชการรัฐสภา ควรจะพิจารณาให้รอบคอบ