คณะกรรมการญาติพฤษภา '35 นำโดยอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานจัดงานรำลึก 29 ปีพฤษภาประชาธรรม ที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร และเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีเพียงญาติวีรชน ผู้แทนภาคประชาชน และภาคการเมืองบางส่วน ร่วมวางดอกไม้รำลึกที่ฐานอนุสาวรีย์เท่านั้น ส่วนองค์กรภาคประชาชนต่าง ๆ รวมถึงองค์กรภาครัฐ ที่ไม่ได้มาร่วมงานส่งพวงมาลามาร่วมวางรำลึกรอบฐานนุสาวรีย์โดยมีพระภิกษุ 1 รูปรับถวายเครื่องสังฆทานและสวดบังสุกุลแด่วีรชน จากนั้นญาติวีรชนและผู้แทนภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมวางดอกไม้และพวงมาลา ที่ฐานอนุสาวรีย์ฯ
รศ.โคทม อารียา ประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม กล่าวรำลึกเหตุการณ์ว่า การต่อสู้ของวีรชนพฤษภา 35 นั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่กินได้ ซึ่งไม่ใช่ให้ผู้มีอำนาจกินหรือได้ประโยชน์เท่านั้น แต่ประชาทุกคนต้องได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันและต้องมีเสรีภาพก่อน เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม และเห็นว่าปัจจุบันยังมีประชาชนที่ยังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้มีเสรีภาพและความเท่าเทียมอยู่
พิภพ ธงไชย ประธานที่ปรึกษาญาติวีรชน พฤษภา'35 กล่าวถึงผู้มีอำนาจในรัฐไทยหรือรัฐบาลทุกชุดที่ให้ความสำคัญการต่อสู้ของประชาชน ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่สามารถพัฒนาไปได้ แตกต่างจากหลายประเทศรวมถึงประเทศเกาหลีใต้ ที่ผู้มีอำนาจให้ความสำคัญ จึงสามารถพัฒนาประชาธิปไตยและเศรษฐกิจให้รุ่งเรืองได้อย่างที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ยังเห็นว่าสำนึกของชนชั้นกลางไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ มีลักษณะเฉพาะคือแม้ว่าพร้อมออกมาลงถนนเพื่อการต่อสู้ แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เมื่อสู้เสร็จแล้วก็จบไป แล้วค่อยออกมาต่อสู้ใหม่ โดยมองว่า งานปีหน้าครบรอบ 30 ปีพฤษภาประชาธรรม คนกรุงเทพฯก็ยังจะไม่มาร่วมงานเหมือนหลายปีที่ผ่านมาเช่นเดิม
ขณะที่ ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประชาธิปไตยต้องลงมือทำและที่ประชาธิปไตยไทยไม่พัฒนา เพราะภาคประชาชนรวมถึงผู้ที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตยไขว้เขว ใช้แนวทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งที่เป็นการไม่เคารพสิทธิของประชาชนคนอื่น ที่เห็นต่างรวมถึงการเชื้อเชิญให้มีการรัฐประหารด้วย
โดยมองว่าการมีอนุสาวรีย์พฤษภา 35 สื่อนัย 2 อย่างคือไม่ควรที่จะมีประชาชนคนใดต้องบาดเจ็บล้มตายเพียงเพราะเห็นต่าง หรือมาต่อสู้ทางการเมือง กับประชาธิปไตยต้องเป็นการปกครองตนเองของประชาชน ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ดังนั้นประชาชนต้องรู้จักปกครองตนเองไม่ใช้วิธีการลอกประชาทิปไตยมาแก้ปัญหา ทั้งนี้เชื่อว่า เมื่อครบรอบ 30 ปีพฤษภาจะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่