วันที่ 1 มี.ค. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ว่า ตนและรัฐบาลมีความเชื่อศักยภาพของประเทศไทยพร้อม และพร้อมมากที่จะต้องถูกระเบิดออกมาเพื่อฉายแววให้ชาวโลกรู้ว่าศักยภาพของเรามีมากขนาดไหน
ทั้งนี้ก่อนที่ตนจะพูดให้ฟัง เราต้องยอมรับก่อนว่าปัญหาเรามีอะไรบ้าง เพราะถ้าเราไม่ยอมรับปัญหาก็จะไม่มีทางออก พร้อมยืนยันว่าไม่ได้แปลว่าทำให้ใครรู้สึกไม่ดี แต่ตนเชื่อว่าการที่เราจะนำเรื่องนี้มาพูดคุยถือเป็นเรื่องที่ดี
นายกฯ กล่าวอีกว่า 10 ปีก่อนสนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นสนามบินสนามบินดีอันดับ 13 ของโลก แต่วันนี้อยู่อันดับ 68 ของโลก ตกมา 55 ระดับ และเพื่อนบ้านบ้านเรามาเลเซียไม่ได้มีการลงทุนอะไรเลยแต่อันดับสูงขึ้นซึ่งไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์เลย
ทั้งนี้คนต่างชาติอยากเข้ามาประเทศไทย แต่เที่ยวบินไม่เพียงพอ เรื่องภาษีการบินแพง ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากเข้ามา แต่ไม่ใช่เหตุผลเดียว ทั้งที่ความต้องการก็ล้น ดังนั้นตรงนี้ถ้าเราไม่มีการทำอะไรก็จะวุ่นวายแน่นอน
ขณะที่การรองรับท่องเที่ยว การโหลดกระเป๋าสินค้า แท็กซี่สนามบิน ระบบล่ม ไฟลท์บินเปลี่ยนผ่านน้อยลง เรื่องเหล่านี้ ตนเชื่อว่าเป็นปัญหาใหญ่ทำให้บั่นทอนศักยภาพประเทศ ดังนั้นขอให้นึกภาพดูแล้วกัน 60 ล้านคนที่เข้ามา ถ้าไม่ทำอะไรก็อาจทำให้อันดับจากอันดับ 68 อีก
ทั้งนี้แผนที่หนึ่ง คือการเร่งแก้ไขสุวรรณภูมิเป็นการเร่งด่วน โดยจะขยายข้อบกพร่องที่สุวรรณภูมิ ให้รองรับผู้โดยสารให้ได้ 60 ล้านคนจริงๆ ไม่ใช่รองรับแค่ 45 ล้านคน และไม่พอกับความต้องการจริงที่เข้ามา
ส่วนจิ๊กซอว์ที่สอง คือการสร้างรันเวย์ที่ 3 ซึ่งจะเสร็จภายในตุลาคมนี้หรือเร็วกว่า ซึ่งจะทำให้เครื่องบินขึ้นลงได้ถึง 90 ลำ ไม่ใช่แค่ 60 ลำ
ส่วนเรื่องสาม จะต้องลดเวลาผู้โดยสารในการผ่านด่านจุดตรวจต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาการเดินทางทำให้การเดินทางไม่เชื่อมต่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก รวมถึงอนาคตเรื่องของเหลวที่มีในกลุ่มสตรี แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ตนเชื่อว่าการท่าอากาศยานไทยคำนึงถึงและให้ความสำคัญมาก โดยจะต้องถูกแก้ไขภายใน 6 เดือน
รวมถึงจะเปิดจุดเช็คอินเพิ่มและขยายเวลาการเปิด รวมถึงเปิดเครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ นอกจากนี้ต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง โดยเราจะเพิ่มบริษัทภาคพื้นดินในการดูแลการขนส่งและรถกระเป๋าต่างๆ โดยเปิดให้มีการแข่งขันหลายบริษัท เพื่อบังคับให้เขาบริการดีที่สุดกับนักท่องเที่ยวและประชาชนคนไทยทุกคน เพราะในอดีตบริษัทที่เข้ามาก็มีปัญหา
นายกฯ ยังกล่าวถึงการคัดเลือกผู้รับเหมาว่า หากทำไม่ดีก็ต้องมีการลดเกรด เพื่อให้เขามีการวิเคราะห์และพัฒนาตลอด ซึ่งหากเขาทำไม่ดีตนอยากให้มีการลดเกรดเกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากทำได้จะทำให้การเข้าออกประเทศมีความสมดุลและตรวจสอบได้หมด รวมถึงทำให้รวดเร็ว ทั้งนี้ตนมั่นใจว่า 6 เดือนต่อจากนี้ จะไม่เห็นผู้โดยสารที่ต้องรอคิวเช็คอินนานๆ
นอกจากนี้เราต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานอุณหภูมิในระยะยาว อาทิ เรื่องการขนส่งสินค้าต้องพัฒนาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องการพัฒนาคนอย่างเดียว โดยเราจะมีการสร้างเชื่อม 2 เทอร์มินอล เพราะจะทำให้การขนถ่ายผู้โดยสารและสินค้าดีขึ้น
นายกฯ ระบุอีกว่า จาก 2 สนามบิน (สุวรรณภูมิและดอนเมือง) ถ้าเราสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ 150 ล้านคน ก็จะทำให้หลายภาคส่วนเติบโตแล้วจะทำให้เศรษฐกิจไทยรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน และค่อยพิจารณาเรื่องการขยายขยายเทอร์มินอล ส่วนเรื่องคลังสินค้า ถ้าเราทำให้เป็นศูนย์กลางได้ ก็จะทำให้ตลาดในภูมิภาคนี้อยู่ในมือของไทย เพราะมีสินค้าผ่านสุวรรณภูมิ 1.2 ล้านตันต่อปี ฉะนั้นการยกระดับคลังสินค้าก็เป็นเรื่องสำคัญโดยเราจะต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้น พอจุดมุ่งหมายเราคือต้องทำให้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัว
ทั้งนี้ตนมั่นใจว่า จะทำให้ก้าวแรกที่ผู้สารเดินเข้ามาสู่สุวรรณภูมิต้องมีความมั่นใจ รวมถึงทำให้การขนส่งสินค้าดีขึ้น และเราจะเปลี่ยนสนามบินดอนเมืองให้มีจุดเด่นรวมถึงขยายขีดความสามารถให้สูงขึ้น ที่ปัจจุบันรับอยู่ปีละ 30 ล้านคน เพื่อให้รับผู้โดยสารได้ถึง 50 ล้านคน และพัฒนาเรื่องร้านค้าเพื่อเป็นจุดหลักการส่งสินค้าโอทอปด้วย ส่วนการพัฒนาเรื่องที่จอดรถ ภายในปี 2572 เราจะเพิ่ม 5 เท่าเป็น 7,600 คัน
ส่วนการใช้เครื่องส่วนตัวที่มีสูงขึ้นมากในตอนนี้ เราจะเปิดที่สนามบินสุวรรณภูมิให้มีที่จอดมากขึ้น โดยไม่ให้เค้าไปจอดประเทศอื่น
นายกฯ ย้ำว่า เราก็จะมีการพัฒนาสนามบินตามภาคต่างๆด้วย อาทิ ภาคใต้ภูเก็ต ภาคเหนือเชียงใหม่ รวมถึงสนามบินย่อยอื่นๆ ก็จะต้องมีการพัฒนาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยจะต้องไม่มีความแออัด พร้อมย้ำว่า ความมั่นคงก็จะต้องควบคู่ไปกับความมั่งคั่งในรัฐบาลนี้ นอกจากนี้ต้องมีการขยายศูนย์การซ่อมเครื่องบินไพรเวทเจ็ท โดยไม่ต้องบินไปสิงคโปร์อีกต่อไป
ส่วนการพัฒนาสายการบินไทยที่เป็นสายการบินแห่งชาติ ต้องพัฒนาให้อย่างเหมาะสม อาทิ ตั๋วที่มีปัญหาเรื่องเอเจ้นและทำให้เต็มบ่อย ต้องพัฒนาเรื่องตั๋วออนไลน์ ซึ่งต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา และการจัดตารางเวลาก็ต้องทำให้เหมาะสม เพราะเมื่อเราหมดจากแผนพื้นฟูแล้วเราก็มายกระดับให้การบินไทยมีระดับที่ดี หรือเป็นอันดับท็อปสามของโลก
ช่วงท้าย นายกฯ ระบุว่า เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค และนักเดินทาง 150 ล้านคน ขอประกาศว่าต่อจากนี้ใน 1 ปี สุวรรณภูมิจะเป็นสนามบินท็อป 50 ของโลก และภายใน 5 ปีจะต้องอยู่ในท็อป 20 ให้ได้ ทั้งนี้ตนขอประกาศว่าวันนี้เราตื่นแล้ว และเราต้องตื่นมาร่วมกันพัฒนาเพื่อให้ความฝันนั้นเป็นจริง