หากย้อนไปในวงการบันเทิงสมัยก่อน การเปิดตัวเรื่องความรักของดารานักแสดง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องรักษาฐานความนิยมจากแฟนๆ แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ดารานักแสดงยุคใหม่ มีการเปิดเผยเรื่องความรักกันมากขึ้น ซึ่งผลของการเปิดตัวบางครั้ง ก็สร้างผลดีกับผู้ที่เปิดตัว แต่บางครั้งก็ส่งผลกระทบต่อกระแสความนิยม ทีมข่าววอยซ์ออนไลน์ ได้ไปพูดคุยกับ คุณจงจิตต์ อินทุ่ง ผู้บริหารงานศิลปิน บ.นาดาว บางกอก ที่ดูแลศิลปินวัยรุ่นชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ต่อ ธนภพ,แบงค์ ธิติ,ไอซ์ พาริช, ต้าเหนิง เป็นต้น จะสังเกตเห็นได้ว่า นักแสดงในสังกัด นาดาว บางกอก ส่วนใหญ่จะเปิดเผยเรื่องราวความรักของพวกเขา ให้แฟนๆ ได้ทราบ โดยไม่ปิดบัง
จงจิตต์ อินทุ่ง ผู้บริหารงานศิลปิน บ.นาดาว บางกอก เผยมุมมองการบริหารในส่วนบริษัท นาดาว บางกอก ว่า เนื่องจากนักแสดงในสังกัดเป็นวัยรุ่น ที่ผ่านมาเธอจะใช้วิธีให้นักแสดงเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์ว่า เขาจะต้องห้ามบอกเรื่องความรัก หรือต้องปิดเรื่องส่วนตัว แต่จะเป็นการช่วยกันดูว่าสิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
"อะไรที่รู้สึกมันล้ำเส้น มีผลกระทบต่อการทำงาน เช่น เขาคบกัน ระหว่างทางเขาทะเลาะกัน มีผลต่อการทำงานยังไง เราจะเข้าไปตักเตือน เห็นไหม มันมีผลนะ เขาต้องควบคุมยังไง ให้ไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน คือสิ่งที่เราคุยกันตกลงกัน ซึ่งเด็กๆ ทุกคนเข้าใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องส่วนตัวมีผลต่อการทำงาน เขาก็จะมีวิธีในการจัดการของเขาเพื่อไม่ให้งาน มีผลกระทบ พอเขาทำหน้าที่ผลงานของเขาให้ดีที่สุด ในส่วนของพาร์ทของการแสดง งานที่เขารับผิดชอบ อันนั้นจะเป็นตัวพิสูจน์ให้แฟนคลับเห็นว่าจริงๆ แล้ว การที่เขาเปิด เป็นตัวของตัวเองในเรื่องของความรัก จริงๆมันไม่ได้มีผลต่อการทำงานนะ คือเขาต้องแลกมา ซึ่งผลงานให้คนอื่นได้เห็น"
ถามว่าความรักมีผลต่อกับการทำงานไหม ก็มีผล เช่น สมมติว่าเมื่อถึงจุดที่เขาประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง สมมตินักแสดงผู้ชาย การมีแฟนผู้หญิง มีผลแน่นอนกับแฟนคลับ ที่รู้สึกชื่นชมเขา และรู้สึกหวง อยากให้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวแฟนๆ เอง ก็จะรู้สึกไม่อยากให้เขามีใคร
"เราเริ่มเรียนรู้การที่ส่งน้องไปเข้าโปรเจกต์ 9x9 การที่น้องเข้าไปเป็นศิลปิน เขาจะมีแฟนคลับอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะไม่เหมือนแฟนคลับนักแสดง แฟนคลับของกลุ่ม 9x9 จะมีความหวงแหนศิลปินมากกว่าปกติ ถ้าเป็นกลุ่มนี้ เรารู้สึกว่ามีผลกระทบเหมือนกัน คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราประกาศไปว่ามีแฟน น้องก็ต้องดูแลตัวเองอย่างดีมาก เช่น สมมติตอน เจเจ ที่ประกาศว่าเป็นแฟน ต้าเหนิง แต่ว่าโชคดีมากแฟนคลับทุกคนน่ารัก ให้การสนับสนุน และยังให้การต้อนรับต้าเหนิงด้วย มันขึ้นอยู่กับการวางตัวของน้องแต่ละครด้วยแหละ สุดท้ายแล้วคือมันคงไม่ใช่ว่าแฟนคลับจะตั้งแง่ ไม่รับเลย ไม่เอาเลย ซะขนาดนั้น"
ครั้งหนึ่ง นาดาว บางกอก เคยประสบปัญหาใหญ่ กรณีปัญหา ของนักแสดง 'กัปตัน' ชลธร คงยิ่งยง ที่ฝ่ายหญิงนั้น ออกมากล่าวว่าตั้งครรภ์กับนักแสดงหนุ่ม จนเป็นเรื่องเป็นราวเปิดโต๊ะแถลงข่าว และกลายเป็นคดีความฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท
จงจิตต์ อินทุ่ง ยอมรับว่า นั่นเป็นเคสที่หนักที่สุดของนาดาว ตั้งแต่เปิดบริษัทมา เพราะมันมีรายละเอียด และเรื่องที่กระทบจริยธรรม ซึ่งเรื่องของชื่อเสียง "บางทีมันกลับมามันยาก" โชคดีที่ทุกคนให้โอกาสเขา ซึ่งเวลานักแสดงมีปัญหา จะต้องคุยกับเขาก่อน
"คือเราต้องรู้ความจริงทั้งหมด หมายถึงว่า สิ่งที่มันเป็นข่าว มันจริงทั้งหมดแค่ไหน? คือเขาต้องเล่าให้เราฟังหมดเลย ว่าความจริง เรื่องราวเป็นยังไง ลำดับ ขั้นตอนเหตุการณ์ เขาเจออะไรมาบ้าง หรือเป็นอย่างไร ทั้งหมดเขาต้องเล่าให้เราฟัง หลักสำคัญเลย เขาต้องพูดความจริง
จริงๆ เราจะสอนให้น้องๆ ได้เรียนรู้จากเคสของตนอื่น คือเราจะไม่ได้อยากให้เขาเจอปัญหานั่นเอง ต้องเข้าไปแก้ด้วยตัวเอง อย่างน้องๆ ที่นาดาวมีหลายคน ตอนนี้เราดูแลประมาณ 38 คน ใครที่มีข่าว 1 คน คนอื่นควรจะเรียนรู้ เรื่องจากเพื่อน เพื่อนเจอปัญหาอะไรมา แล้ววิธีการแก้ไขปัญหาแต่ละคนเป็นยังไง เพราะฉะนั้น อย่าไปเรียนรู้จากเรื่องของตัวเองเลย อันนี้คือวิธีที่เราบอกเขา บางทีเขาคุยกัน เขาจะซึมซับและยอมรับได้มากกว่าเราด้วยซ้ำ มันจะทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ และปกป้องตัวเอง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่มันไม่โอเคขึ้น"
"ทุกคนพลาดได้ แต่อย่าบ่อย แล้วพยายามเรียนรู้จากเพื่อน อย่าเจอกับตัวเองเลยดีที่สุด"
สื่อโซเชียล เป็นอีกสิ่งที่คนในวงการบันเทิงต้องใช้อย่างระมัดระวัง จงจิตต์ อินทุ่ง ย้ำ "จริงๆแล้วผลกระทบต่อแฟนคลับ มันป็นเรื่องของความรู้สึก ที่ติดตามโซเชียล ก็อยากเห็นศิลปินที่เขาชอบคนเดียว สมมติยกตัวอย่าง อยากเห็นแบงค์คนเดียว แต่ถ้าแบงค์ลงรูปแฟนบ่อยๆ บางคนจะรู้สึก มันบ่อยไปไหมหรืออะไรประมาณนั้น ทางเราก็จะมีคุยกับเขา ให้นึกถึงความรู้สึกแฟนคลับนิดนึง เหมือนค่อยๆ เรียนรู้ไป เราก็ค่อยๆ สอนเขา อธิบายให้เขาฟัง"
ในมุมมองของผู้บริหารศิลปิน นาดาว บางกอก จงจิตต์ อินทุ่ง บอกว่า การเปิดหรือปิดความสัมพันธ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า เขาสบายใจแบบไหน บางทีเขาลองแล้ว เขาปิดแล้ว เขารู้สึกอึดอัด เขาจะเดินเข้ามาบอกว่า เขาเปิดนะ มันก็มีสิ่งนี้อยู่ หรือเมื่อถึงวันที่เขาพร้อม บางทีเด็กอายุเขายังไม่ถึงที่จะมาเปิดอะไรขนาดนั้น ตอนนี้เขารู้สึกเขายังไม่พร้อม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาโตขึ้นแล้ว เขามีความรับผิดชอบในส่วนหน้าที่เขา เขาจะเปิด เพราะฉะนั้นมันเลยบอกไม่ได้ว่า เปิดหรือปิด อันไหนดีกว่ากัน
โลกของเรามันเปลี่ยนไป วงการบันเทิงสมัยก่อน ถ้าเกิดมีแฟนจะปิด แม้กระทั่งต้องเปลี่ยนชื่อเข้าวงการ หรืออะไรแบบนี้ อันนี้มันเป็นเหมือนวิถีของวงการบันเทิงสมัยที่ผ่านๆ มา ณ ปัจจุบันนี้ บอมคิดว่าคนที่เสพข่าว หรือแม้กระทั่งคนที่รอติดตามผลงานของน้องแฟนคลับทุกคน เขามีข้อมูลต่างๆ ที่เขาได้รู้เยอะกว่าปกติที่ผ่านมา เขาเห็นจากการที่เราเลือกให้เขาเห็น เช่น ทีวี เห็นได้แค่นี้ แค่นี้ แต่ ณ ปัจจุบัน โซเชียล เขามีโอกาสเป็นได้ทุกอย่าง เขามีโทรศัพท์ เป็นนักข่าวก็ได้ เขาสามารถถ่ายสิ่งนั้นสิ่งนี้ ข้อมูลคือมันมีทุกคนพร้อม ที่ว่าสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด เธอคิดว่าสิ่งนี้แหละ มันทำให้โลกในวงการบันเทิงของเราเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น มุมมองของคนที่เขาเปิดกว้างมากขึ้น เขาเลยไม่จำเป็นต้องปิด คนนี้มีแฟนเขาไม่ติดตามนะ คือพอโลกมันเปลี่ยนไป เขาอาจจะเปิดรับได้มากขึ้นก็ได้