นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เดินทางพร้อมคณะติดตามกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ ในกลุ่มนักดำน้ำ และโซเซียลมีเดีย ในคลิปเป็นเหตุการณ์ชายไทย หยิบดอกไม้ทะเลจากใต้ทะเลบริเวณหน้าเกาะยอ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดไม่มีกระดูกสันหลัง ขึ้นมาโชว์นักท่องเที่ยวพร้อมปลาการ์ตูน จนเกิดกระแสจากสังคมว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศน์และทรัพยากรทางทะเลไทย
พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผอ.ส่วนส่งเสริมการมีส่วนร่วม สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 ชลบุรี และนิติกร แจ้งความร้องทุกษ์กล่าวโทษความมาตรา 4 และ 16 บทลงโทษในมาตรา 47 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กรณีดำน้ำจับปะการัง ประเภทดอกไม้ทะเล ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนและการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดละเมิดเกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเล ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 แก่พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีตามขั้นตอนซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต่อมาทางด้าน นายเอกวัฒน์ มีเติม อายุ 31 ปี ชายที่ปรากฏในคลิป เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา
โดยนายเอกวัฒน์ ให้การว่า ตนทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และช่วงวันหยุดมักชอบพายเรือออกไปตกปลากับเพื่อน ต่อมาได้รับการประสานจากลูกพี่ลูกพี่ลูกน้องที่กรุงเทพฯ ว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ประเทศจีนและเพื่อนชาวจีนจำนวน 5 คน จะมาเที่ยวที่สัตหีบจึงนัดแนะกันให้ไปเจอที่หน้าสโมสรเรือ กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
ในตอนเช้าได้พากันขึ้นเรือยนต์ขนาด 17 ฟุต ขนาด 90 ซีซี ออกไปตกปลาหน้าเกาะหมู แต่ปรากฏว่าคลื่นลมแรง จึงออกเรือไปยังเกาะยอซึ่งห่างกันประมาณ 50 เมตร และให้เพื่อนลงดำน้ำในระดับความลึกเมตรครึ่ง ปรากฏว่า ขณะนั้นพบเห็นดอกไม้ทะเลจำนวน 2 ต้น อยู่ในน้ำใกล้ชายฝั่ง ซึ่งคิดว่าหากนำดอกไม้ทะเลทิ้งไว้อาจตายได้เพราะน้ำลงจึงรีบหยิบขึ้นมาเพื่อจะวางลงไปในทะเลที่ลึกกว่าเดิมแต่ในดอกไม้มีปลาการ์ตูนอาศัยอยู่หลายตัวและแย่งที่อาศัยกันจึงจับแยกใส่กระชอนก่อนนำไปปล่อย
นายเอกวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ไม่มีเจตนาทำลายธรรมชาติแต่เป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะกลัวดอกไม้ทะเลจะตาย แต่เพื่อนถ่ายวิดีโอแล้วนำไปลงโซเชียลจนเกิดเรื่องขึ้น ส่วนตัวแล้วไม่ได้ทำงานเป็นไกค์หรือนำเที่ยวเพียงดูแลเพื่อนเท่านั้นและไม่ได้เก็บเงินแต่อย่างใด แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็รู้สึกตกใจและไม่ได้คิดหลบหนี มามอบตัวยอมรับความผิดทุกกรณี
ขณะที่ พ.ต.ท. ปิยะพงษ์ เอนสาร สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ระบุว่า ในครั้งนี้เพื่อต้องการตรวจสอบว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาที่เข้าข่าย พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวหรือไม่ ซึ่งจากการสอบปากคำจากพยานหลักฐาน ดูแล้วไม่น่าจะใช่ตามคำให้การ แต่จะขยายผลการสอบสวนต่อไป
ทั้งนี้มีรายงานเพิ่มเติมว่า หลังการสอบสวนทางเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังเกาะยอ เพื่อดูสภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเลซึ่งพบว่ายังมีความสมบูรณ์ดี เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ใจการดูแลของการกองทัพเรือ แต่เมื่อเกิดเหตุทางกรมต้องดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
Image by Jag Garcia from Pixabay