ฝนที่เทกระหน่ำลงมาตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหลายพื้นที่ในประเทศออสเตรเลียที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมเป็นวงกว้าง จนกระทั่งในวันที่ 20 มี.ค.พื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ซึ่งทางการของรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐบาลกลางได้ลงนามในประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติแล้วทั้งสิ้น 16 ฉบับเพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพื้นที่ทางตอนกลางและทางเหนือของรัฐ
แกลดิส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวในการแถลงข่าวว่า ระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับอันตราย น้ำในเขื่อนเอ่อล้น ทำให้หลายครัวเรือนต้องเร่งอพยพออกจากพื้นที่ พร้อมย้ำว่านี่คือสิ่งที่ชาวออสเตรเลียไม่ได้เผชิญมาตั้งแต่ช่วงปีทศวรรษที่ 1960 แล้ว บางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุอุทกภัย ต้องเจอสภาพความรุนแรงหนักที่สุดในรอบ 50 และ 100 ปีเลยทีเดียว
นับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนโทรศัพท์เข้ามาขอความช่วยเหลือกับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินของรัฐนิวเซาท์เวลส์ State Emergency Service (SES) มากว่า 7,000 ครั้ง ขณะที่ทาง SES ได้ลงพื้นที่ให้การช่วยชีวิตประชาชนจากเหตุน้ำท่วมแล้วมากกว่า 750 ครั้ง ท่ามกลางการทำงานอย่างหนักของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครหลายพันคน ช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ในที่พักอาศัย ซึ่งจากภาพในโซเชียลมีเดียพบว่าหลายพื้นที่จมอยู้ใต้น้ำโดยสมบูรณ์
ขณะนี้ยังไม่มีการรายงานการเสียชีวิต การเดินทางช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากจากการที่ถนนสายหลักถูกตัดขาด ขณะที่นครซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ก็กำลังเตรียมรับมืออย่างเต็มกำลัง หลังแกลดิส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ เตือนว่าสถานการณ์จะยังคงตึงเครียดต่อไป และ ประชาชนในซิดนีย์อาจถูกสั่งให้เร่งอพยพเร็วๆ นี้ และคาดว่าในซิดนีย์จะมีปริมาณน้ำฝนสูงขึ้น 100 มม.หลังฝนตก 12 ชม.เต็ม