เมื่อเวลา 14.00 น. ที่บก.ปทส. อดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ ชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เข้าร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ผบก.ปทส.
พ.ต.อ. พิบูลย์ เวียงจันทร์ รอง ผบก.ปทส.พ.ต.อ.ศราณุ โสมทัต ผกก.5บก.ปทส และคณะพนักงานสอบสวนบก.ปทส. ให้ดำเนินคดีกับ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หลังตรวจสอบพบว่ามีการบุกรุกที่ดินในจ.ราชบุรี
อดิศร กล่าวว่า สืบเนื่องจากปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ ได้แจ้งร้องทุกข์ให้กรมป่าไม้ ดำเนินการตรวจสอบที่ดินจำนวน 77 แปลงเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ของสมพร ซึ่งกรมป่าไม้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ โดยมิชอบหลังรับเรื่องร้องทุกข์ทางกรมป่าไม้ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบนานพอสมควร เนื่องจากต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพบว่า ที่ดินที่สมพรครอบครอง นั้นเป็นพื้นที่ป่าสงวนและเขตหวงห้าม ซึ่งเรื่องนี้ทางกรมป่าไม้ได้รับร้องเรียน ทั้งจากชาวบ้าน ในพื้นที่เมื่อจะนำพื้นที่ป่าที่สมพรครอบครองไปทำป่าชุมชน แต่ตรวจสอบก็พบว่ามีการครอบครองโดยมิชอบ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่ามีการนำเอกสารสิทธิที่ดินที่เกี่ยวข้อง จำนวน 77 แปลง ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน จำนวน 1 แปลง ,นส.3 ก จำนวน 55 แปลง ,นส. 3 จำนวน 14 แปลง โดยมีเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า 3,098 ไร่เศษ ซึ่งจากการตรวจสอบพบที่ดินทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้าย แม่น้ำภาชี และซ้อนทับกับ เขตปฏิรูปที่ดิน ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีการประกาศปี 2554 และไม่มีแผนงานพร้อมงบประมาณที่จะการดำเนินงาน จึงไม่มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ และแปลงที่ดินทั้งหมดซ้อนทับในเขตป่าไม้ถาวร หมายเลขที่ 85 (ปี 2512)
อดิศร กล่าวอีกว่า ในส่วนของที่ดิน นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ มีการออกโดยไม่มีหลักฐานเดิม (สค.1) เป็นการเดินสำรวจออกเมื่อปี 2521 ก่อนประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อปี 2527 แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรหมายเลข 85 เมื่อปี 2512 ก่อนที่จะมีการออกเอกสาร นส.3 ก ทั้ง 55 ฉบับ ซึ่งทำให้เป็นเอกสารที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะนั้น
อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่าสมพร มีเจตนาครอบครองที่ดิน นส 2 โดยการซื้อเปลี่ยนมือจากบุคคลอื่นแบบผิดกฎหมาย จำนวน 7 แปลง เนื้อที่ 350 ไร่ ทั้งนี้แปลงที่ดินดังกล่าวเป็นเอกสาร นส.2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาซ้อนทับที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีการร้องเรียนของกลุ่มชาวบ้าน ม14 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ .ราชบุรี ที่มีแผนงานจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน และมีตัวแทนของสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ออกมาร่วมตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย มีการยอมรับการครอบครองและแสดงเจตนามอบให้หมู่บ้านจัดตั้งป่าชุมชนของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาครอบครอง นส.2 แบบผิดกฎหมายของสมพร
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่าสมพร มีการครอบครองที่ดินมือเปล่าแบบผิดกฎหมาย (ภบท.5) อีก 1แปลง เนื้อที่ 90 ไร่ ในท้องที่ ม.3 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โดยตรวจสอบพบหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่ระบุชื่อสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จ่ายเงินค่าที่ดินมือเปล่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 90 ไร่ ในช่วงปี 2553-2556 ในส่วนเอกสาร โฉนดที่ดิน 1 แปลงและ นส.3 อีก 14 ฉบับ ต้องขยายผลตรวจสอบ
อย่างไรก็ตามขณะนี้พบว่ามีความผิดในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 450 ไร่ (ที่ดินภบท.5 และนส.2 ทั้ง 7 แปลง) และแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิที่ดิน นส.3 ก จำนวน 55 แปลง และเสนอให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของนางสมพรฯ นส.3 ก อีกประมาณ 2,000 ไร่ ซึ่งเบื้องต้น สมพรเข้าข่ายความผิดตามมาตรา14 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา54 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484
พ.ต.อ.พิบูลย์ กล่าวว่า เบื้องต้นรับเรื่องราวร้องทุกข์ก่อนดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน ในส่วนคดีรุกพื้นที่ป่าของปารีณาว่า ขณะนี้ขั้นตอนการดำเนินการ ทางตร.ได้นำเอกสารส่งให้ผบ.ตร.ลงนามส่งไปยังรัฐสภา เพื่อขอนำตัวนางสาวปารีณา ส่งมอบต่ออัยการ จ.ราชบุรี ดำเนินการตามขั้นกฎหมายเช่นเดียวกับคดีของทวี ไกรคุปต์ บิดาปารีณา ก็พบว่า เอกสารสิทธิ์นั้นมีบางจุดที่ครอบครองโดยชอบธรรม จนท.ก็จะตัดส่วนนี้ออกไม่ดำเนินการตามกฎหมายแต่จุดที่ทับซ้อนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคดีนี้ จะมีความชัดเจนหลังปีใหม่ และขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำงานตรงไปตรงมาไม่ได้มีเรื้องการเมืองมาเกี่ยวข้อง และทึกขั้นตอนและหลักฐานต่างๆสามารถตรวจสอบได้
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมป่าไม้เตรียมแจ้งความดำเนินคดี สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ รุกป่าสงวนในพื้นที่ จ.ราชบุรี 450 ไร่ พร้อมเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก จำนวน 2,000 ไร่ ว่า ในการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯ เราไม่ดูที่ว่าเป็นใครหรือฝ่ายใด เราดูแค่ว่าทรัพย์สมบัติของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์นั้นได้มีการบุกรุกหรือไม่ และถ้ามีการบุกรุกขึ้นมา กระทรวงในฐานะที่เป็นเจ้าทุกข์ก็จะมีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทุกคดีที่มีการร้องเรียนกระทรวงทรัพยากรฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เราไม่ได้ประวิงเวลาหรือเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดทั้งนั้น เราดำเนินคดีตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีมีสองมาตรฐาน หรือเลือกที่รักมักที่ชังอย่างแน่นอน เราให้ความยุติธรรมและดำเนินคดีโดยไม่ได้ดูที่ตัวบุคคล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง