วันที่ 22 พ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การ พิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ร้องเรียนขอให้ กกต. ตรวจสอบ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และพรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า หลังไปร่วมพูดคุยกับ พรรคก้าวไกล และ 6 พรรคร่วม ที่ร้านอาหารเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา
ศรีสุวรรณ กล่าวว่า ให้ กกต. ตรวจสอบแกนนำคณะก้าวหน้า ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล ว่าผิดมาตร 28 หรือไม่ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง และสั่งให้ยุติการจัดตั้งหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมือง 10 ปี ทั้งสามคนไปก่อตั้งคณะก้าวหน้า ในสถานที่ทำการพรรคก้าวไกล รวมทั้งผลักดันรัฐธรรมนูญการกระจายอำนาจปกครองท้องถิ่น ให้เป็นนโยบายพรรคก้าวไกล
ทั้งนี้ ธนาธร ปิยบุตร และพรรณิการ์ มีปฏิสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ทั้งเชิงนโยบายและการขับเคลื่อน รวมถึงการพูดคุยจัดตั้งรัฐบาล การกระทำดังกล่าวของทั้งสามคนอาจเข้าข่ายการครอบงำ ชี้นำพรรคการเมืองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น กกต. ต้องวินิจฉัยว่าเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หากเข้าข่าย มาตรา 29 ก็จะตามมา
ส่วนการที่ออกมาร้องเรียนบ่อยๆ ทำให้หลายคนต่อต้านนั้น ศรีสุวรรณ ระบุว่า รัฐธรรมนูญให้สิทธิ์ประชาชนในการตรวจสอบ ทุกคนทำได้เหมือนตน แต่การที่ตนออกมาร้อง อาจขัดหู ขัดตา ขัดใจใครหลายคน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามว่า มาร้องเรียนกับ กกต. แต่ถูกทำร้ายร่างกาย รู้สึกอย่างไร ศรีสุวรรณ ย้ำว่า จะให้ทุกคนมารักเรา 100% ไม่ได้ มีทั้งคนรักคนเกลียด เหมือนพรรคการเมืองก็มีคนรัก คนไม่ชอบ ตนทำหน้าที่ในฐานะสิทธิประชาชน แต่หากเลี่ยงปะทะได้ก็จะทำ ต่อไปจะส่งข่าวให้กับสื่อมวลชนแทนแถลงข่าวด้วยตัวเอง
“การที่ ลุงศักดิ์เสื้อแดง ออกมาก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่อยากสื่อสารถึงคนที่ทำร้ายร่างกายตน กฎหมายคือกฏหมาย คิดจะทำร้ายต้องยอมรับผล ตนได้ดำเนินคดีไปแล้ว อย่ามาร้องไห้หรือตีหน้าเศร้าเพื่อขอรับเงินบริจาค ไม่เช่นนั้นจะโดนคดีที่สาม กล้าทำต้องกล้ารับผิด เป็นลูกผู้ชาย อย่าทำตัวเป็นคุณหนู” ศรีสุวรรณ กล่าว
เมื่อถามว่า มีใบสั่งให้ออกมาร้องเรียนใช่หรือไม่ ศรีสุวรรณ ย้ำว่า ตนร้องทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรครัฐบาล
ศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เหมาะกับการเป็นนายกรัฐมนตรี คนหนุ่มไฟแรง แต่ด้านนโยบาย ส่วนตัวคิดว่ายังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยโดยเฉพาะการยกเลิกหรือแก้ไข มาตรา 112 กระทบจิตใจคนไทย จะทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ต้องฟังความเห็นต่างจากกลุ่มอื่น หากเดินหน้าผลักดันนโยบาย 112 ต่อไป อาจนำไปสู่ความขัดแย้งจนกลายเป็นยูเครนสอง
“ผมยืนยันว่าจะขอทำหน้าที่ตรวจสอบต่อไป แต่ขอเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ระวังตัวมากขึ้น มีการ์ดเข้ามาดูแลความปลอดภัย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์เสี่ยง อาจจะมีเรื่องไม่คาดคิด” ศรีสุวรรณ กล่าว