ทั้งนี้ คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกประจำสำนักประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธ (6 ก.ย.) ว่า ความช่วยเหลือใหม่ของสหรัฐฯ ต่อยูเครนในครั้งนี้ จะรวมถึงระบบยิงขีปนาวุธไฮมาร์ส อาวุธต่อต้านรถถังจาเวลิน รถถังอับรัมส์ และระบบอาวุธอื่นๆ ในขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ทางสหรัฐฯ จะส่งกระสุนยูเรเนียมที่หมดสภาพไปให้แก่ยูเครนด้วย โดยกระสุนดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงในการเจาะแผ่นเกราะ แม้การใช้งานกระสุนยูเรเนียมจะถูกรัสเซียวิจารณ์ก็ตาม
“ในการรุกตอบโต้ที่กำลังดำเนินอยู่ ความคืบหน้าได้เร่งตัวขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ความช่วยเหลือใหม่นี้จะช่วยดำรงไว้ซึ่งการรุกตอบโต้ และสร้างแรงผลักดันต่อไป” บลิงเคนกล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวร่วมกับ ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเครน เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการโจมตีของรัสเซีย ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 คน
นอกจากนี้ บลิงเคนยังได้เข้าพบกับ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ซึ่งได้กล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนยูเครน อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดียูเครนกล่าวเตือนว่า ยูเครนคาดว่าจะพบกับช่วงเดือนที่ยากลำบาก ซึ่งรออยู่ข้างหน้าเมื่อฤดูหนาวใกล้เข้ามา “เรามีความสุขที่เราไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดฤดูหนาวนี้ เราจะทำมันร่วมกับพันธมิตรของเรา” เซเลนสกีกล่าวกับบลิงเคน
การมอบความช่วยเหลือต่อยูเครนโดยสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นอีกความพยายามหนึ่ง ที่สหรัฐฯ กำลังให้การสนับสนุนยูเครน ในการรุกตอบโต้นึดคืนพื้นที่ที่รัสเซียยึดไปจากยูเครน นับตั้งแต่สงครามยูเครนปะทุขึ้นด้วยการเข้ารุกรานของรัสเซีย เมื่อเดือน ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกสำนักประธานาธิบดีรัสเซีย ถึงการเดินทางเยือนยูเครนของบลิงเคน โดยเปสคอฟกล่าวว่า รัสเซียเชื่อว่าสหรัฐฯ วางแผนที่จะให้เงินทุนแก่กองทัพยูเครนต่อไป “เพื่อทำสงครามจนถึงชาวยูเครนคนสุดท้าย” นอกจากนี้ เปสคอฟกล่าวว่าเงินช่วยเหลือของสหรัฐฯ ต่อยูเครน จะไม่กระทบ “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” ของรัสเซียแต่อย่างใด
การรายงานข่าวการเดินทางเยือนยูเครนของบลิงเคน ถูกกลบด้วยรายงานเหตุการโจมตี ที่เกิดขึ้นในตลาดที่พลุกพล่านแห่งหนึ่งของเมืองคอสตินตีนิฟกา ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกของยูเครน ที่มีประชากรเกือบ 70,000 คน อันตั้งอยู่ห่างจากแนวหน้ารบไปประมาณ 20 กิโลเมตร ทั้งนี้ การโจมตีด้วยกระสุนปืนใหญ่ของรัสเซียในครั้งนี้ คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 16 ราย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
“ความชั่วร้ายของรัสเซียนี้จะต้องพ่ายแพ้โดยเร็วที่สุด” เซเลนสกีกล่าว พร้อมอธิบายว่าการโจมตีเมืองคอสตินตีนิฟกาโดยรัสเซียเป็นความจงใจโจมตี “เมืองที่สงบสุข” พร้อมกันกับการโพสต์ภาพที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการระเบิด หลังจากมีเสียงคล้ายขีปนาวุธยิงเข้ามาใกล้ และผู้คนต่างรีบหาที่กำบังหรือล้มลงกับพื้น ทั้งนี้ ทางการรัสเซียยังคงไม่ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้แต่อย่างใด
สำนักประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกการแถลงประณามการโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการโจมตีที่ “โหดร้าย” พร้อมระบุว่า“การโจมตีอันโหดร้ายของรัสเซีย ตอกย้ำความสำคัญของการสนับสนุนประชาชนยูเครนต่อไป ในขณะที่พวกเขากำลังปกป้องดินแดนของพวกเขา” ฌอง-ปิแอร์กล่าวในการแถลง
ในขณะเดียวกัน เดนิส บราวน์ ผู้แทนพิเศษด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติประจำยูเครน ได้ประณามการโจมตีดังกล่าว ผ่านการแถลงการณ์ว่า “การโจมตีที่น่ารังเกียจ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ได้โจมตีต่อตลาดที่มีประชากรหนาแน่นในเมืองคอสตินตีนิฟกา ภูมิภาคโดเนตสก์ ได้สังหารพลเรือนในชุมชนที่เสียหายจากสงครามแห่งนี้ สังหารและทำร้ายเด็กและผู้ใหญ่หลายสิบคน”
นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังได้ประณามการโจมตีดังกล่าว โดยเรียกการโจมตีดังกล่าวว่า “ชั่วร้ายและป่าเถื่อน”
ที่มา: