เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ‘ฟ้าใส - ปวีณสุดา ดรูอิ้น’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 และ Top 5 มิสยูนิเวิร์ส 2019 เดินทางถึงประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นภารกิจการประกวดที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจียร์ สหรัฐอเมริกา บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากเหล่าแฟนนางงามที่มาต้อนรับเนืองแน่น จัดเต็มอุปกรณ์เชียร์ ทั้งธงชาติไทย ป้ายให้กำลังใจ รวมไปถึงผู้บริหารบริษัท TPN, ลูกเกด เมทินี และเพื่อนนางงาม
ฟ้าใส เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า รู้สึกภาคภูมิใจมากๆ กับตำแหน่ง Top 5 Miss Universe 2019 ความรู้สึกวินาทีที่ประกาศผลในตอนนั้นคือ ถ้าได้เข้าก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ก็ภูมิใจอยู่แล้วเพราะเตรียมใจแล้ว เนื่องจากปีนี้มีนางงามที่เก่งๆ เยอะ แต่ละคนก็ตอบคำถามได้ดีมากๆ ขึ้นอยู่ว่าคณะกรรมการจะชอบคำตอบแบบไหนมากกว่ากัน ส่วนความรู้สึกการประกาศเข้ารอบจาก Top 20 เหลือ Top 10 ซึ่งมีตัวเต็งหลายๆ คนไม่ได้เข้ารอบ ตอนนั้นก็รู้สึกหวั่นๆ เพราะได้เข้ารอบเป็นคนที่ 9 และนึกในใจว่าขอให้ได้เข้าไปต่อเรื่อยๆ และสำหรับ Top 5 คือยิ่งใหญ่มากๆ เพราะเป็นคนเดียวในเอเชีย
“ไม่ผิดหวังเลย ภูมิใจมากๆ เพราะหนูรู้สึกว่าหนูเต็มที่ทุกวันและทุกก้าว ถ้าเกิดหนูไม่ได้เต็มที่กับมันหนูก็จะผิดหวัง ว่าทำไมวันนั้นฉันไม่ได้ทำดีกว่านี้ แต่ว่าหนูเชื่อว่าหนูทำได้เต็มที่มากๆ และหนูก็ภูมิใจมากๆ ค่ะ”
ส่วนเรื่องของคำถามในรอบ Top 5 ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นคำถามที่ยาก
ฟ้าใส ชี้ว่า สำหรับเธอแล้วเอาตรงๆ ก็มองว่ามีหลายคำถามที่มองว่าค่อนข้างง่าย และถ้าได้คำถามเหมือนคนอื่น ก็สามารถตอบได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน แต่เมื่อเราได้คำถามนี้มา ก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อจะตอบคำถามนี้ให้ดีที่สุด เมื่อได้ย้อนกลับไปฟังสิ่งตัวเองตอบ เชื่อว่าตอนนั้นทำได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว
"หลังจากได้ยินคำถามก็ค่อนข้างตกใจ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากๆ แล้วหนูก็ยืนยันเหมือนเดิมว่ามันไม่มีทางที่จะ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ privacy แล้วก็รู้สึกกลัวในบ้านของเรา หรือว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ security แต่ว่าไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย สำหรับหนู หนูก็จะยืนยันแบบเดิมว่ามันควรจะมีจุดกลางที่จะพบกันได้
"หนูเข้าใจว่าใน security ณ ปัจจุบันมันก็มีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ณ ปัจจุบันก็มีกล้องวงจรปิด ซึ่งถ้าเกิดหลายๆ คนไม่มีส่วนนี้มันก็อาจจะมีอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นมาก็ได้ หนูก็เชื่อว่ามันต้องมีจุดกลางที่มันสามารถพบกันได้อยู่แล้ว และมันก็จะได้ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย แต่มันก็ต้องมีความเป็นส่วนตัวด้วยเหมือนกัน"
สำหรับสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการประกวดครั้งนี้ เจ้าของตำแหน่ง Top 5 Miss Universe 2019 ระบุว่า น่าจะเป็นความกังวลเรื่องตา เพราะไม่เคยคิดว่าจะเจ็บขนาดนั้น ถึงขั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วลืมตาไม่ได้ เพราะว่าเซ็นซิทีฟกับไฟมากๆ แล้วอีกวันหนึ่งคิดว่าจะหายดี แต่กลายเป็นว่าลืมตาแล้วน้ำตาไหลออกมา ซึ่งวันนั้นก็คือวันที่ต้องปิดตาเพราะว่าต้องพักตา แต่ทางกองประกวดก็เข้าใจดี เพราะว่าได้แจ้งตั้งแต่ก่อนเข้ากองแล้วว่ามีปัญหาเรื่องตา แต่มีโอกาสได้พัก 1 วันก่อนวันประกวดรอบตัดสินเลยดีขึ้น
โดยสาเหตุฟ้าใสเล่าว่า ย้อนไปช่วงที่ประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ช่วงเดือนมิถุนายน หลังจากกลับมาจากพัทยา ในช่วงเก็บตัวทางกองประกวดให้ใส่คอนแทกเลนส์ใส ซึ่งเธอเป็นคนที่มีปัญหากับคอนแทกเลนส์ใสมาตั้งนานแล้ว และช่วงนั้นพักผ่อนน้อย ทำกิจกรรมเยอะ บวกกับใส่คอนแทกเลนส์ตลอดทั้งวันทำให้ตาแห้ง กลายเป็นว่าไม่สามารถถอดคอนแทกเลนส์ได้ จึงต้องไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นทำให้กระจกตาถลอกตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งก็พยายามรักษามาตลอด แต่เหมือนกับว่ารักษาไม่ถูกทาง
ได้ไปหาคุณหมออีกหลายๆ คน และได้รับคำแนะนำให้ทำเลเซอร์ ซึ่งแตกต่างจากเลสิก เพราะต้องเลเซอร์เพื่อให้แผลที่ถลอกหายก่อน และช่วงที่ตัดสินใจทำเลเซอร์คุณหมอก็แนะนำให้ปรับค่าสายตาไปเลย จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องคอนแทกเลนส์อีก ในตอนนั้นตั้งใจจะทำในวันที่ 8 พ.ย. หลังจากนั้นวันที่ 19 ต.ค. กองก็ประกาศมาว่าจะประกวดแล้ว ซึ่งการทำเลเซอร์ต้องใช้เวลาพักรักษาตัว 10 วัน และห้ามแต่งหน้า รวมถึงห้ามออกกำลังกายเป็นเวลา 7 วันด้วย ซึ่งทำให้เธอต้องเลือกระหว่างการรักษาดวงตา และการเตรียมตัวเพื่อการประกวดมิสยูนิเวิร์ส โดยตลอดการทำกิจกรรมฟ้าใส ใส่คอนแทกเลนส์ข้างเดียวตลอด
ฟ้าใส ยังเปิดใจถึงเรื่องการเป็นผู้เข้าประกวดที่หลายคนจับตามองว่าจะได้รับตำเเหน่ง ซึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนผู้เข้าประกวดรู้สึกไม่ดีกับเธอ โดยเธอบอกว่า ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย จนกระทั่งกิจกรรมวันหนึ่งสปอนเซอร์เกี่ยวกับสกินแคร์เรียกให้เธอไปแต่งหน้าหน้าห้อง โดยตะโกนพูดว่า Where is Thailand ฟ้าใสบอกว่า หลังจากนั้นห้องก็เงียบสนิท แล้วทุกคนก็หันมามอง แล้วก็สามารถรู้สึกได้เลย และก็คิดว่าทำไมเจาะจง Thailand ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ภายหลังก็เข้าใจเหตุผลของเขา ว่าฟ้าใสเป็นผู้เข้าประกวดที่มีผู้ติดตามในอินสตาแกรมมากที่สุด ในวันนั้นก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนบางคนไม่อยากคุยด้วย แต่ว่าที่สนิทจริงๆ อย่างญี่ปุ่น ลาว เมียนมา สวีเดน เขาก็เหมือนเดิม เพราะรู้ว่าไม่ใช่สปอนเซอร์ที่เป็นคนตัดสินใจว่าใครจะชนะ แต่เป็นคณะกรรมการมากกว่า
ขณะที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนนางงามผู้ได้รับมงกุฎ นางงามจากแอฟริกาใต้ ฟ้าใสบอกว่า ส่วนตัวเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก เนื่องจากทำกิจกรรมแล้วแยกกลุ่มกัน แต่ก็ยินดี เพราะว่าเขาตอบคำถามได้ดีมาก
ขณะเดียวกันระหว่างที่ฟ้าใสประกวด แฟนนางงามชาวไทยก็คอยสนับสนุนเป็นจำนวนมาก เธอบอกว่าไม่มีความกดดันจากแฟนๆ เลย มีแต่ความกดดันที่มาจากตัวเอง เพราะว่าอยากจะทำให้ดีที่สุด แล้วก็หวังไว้มาก แต่ว่าในความกดดันก็ต้องมีความพอดีเหมือนกัน เพราะส่วนตัวหนูเวลาที่เรากดดันมันจะรู้สึกอึดอัด และไม่เป็นตัวของตัวเอง กลายเป็นว่าเราไม่มีความสุขกับการทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นต้องมีการผ่อนคลาย ก่อนที่จะพบกรรมการก็จะร้องเพลง หรือเต้นบ้าง
ส่วนแฟนคลับที่ยังรู้สึกเสียใจที่ฟ้าใสไม่สามารถครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สได้ เธอบอกว่า “หนูก็จะบอกว่า Top 5 เลยนะคะ Top 5 จากกว่า 90 ประเทศและเป็นหนึ่งเดียวในเอเชียที่ไปยืนอยู่ตรงนั้น สำหรับหนูคือภูมิใจมากๆ แล้ว และเชื่อว่าตัวแทนประเทศไทยในอนาคตก็จะไปได้ไกลยิ่งขึ้น เพราะว่ามี TPN และ Team Expert อยู่ด้วย ขอบคุณทุกคนที่คอยรัก เชียร์และสนับสนุนฟ้าใสมาตลอด”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้ถามถึงฟ้าใส ที่นายกรัฐมนตรีชื่นชมคำตอบ เธอบอกว่ายังไม่มีโอกาสดได้ดูข่าว แต่ดีใจที่ท่านนายกฯ ชอบคำตอบของหนู และดีใจมากๆ ที่ได้รับฟีดแบคในเชิงบวก
หลังจากนี้ฟ้าใสก็ยังจะทำโครงการเกี่ยวกับเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ กับโรงพยาบาลพยาไทต่อไป และหากมีโอกาสก็อยากทำงานในวงการบันเทิงด้วย ซึ่งสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็คือการพากย์เสียง
'"ตอนนี้หนูภูมิใจมากๆ แล้ว สำหรับรุ่นน้องที่จะมาต่อๆ ไป ทางกองก็อยากได้คนที่มีประสบการณ์มาช่วยแนะนำ ซึ่งหนูก็พร้อมจะเป็นคนนั้นที่แชร์ประสบการณ์ แล้วก็ถ้าช่วยได้ จะเต็มที่ สำหรับใครที่จะมาประกวดและอยากเป็นมิสยูนิเวิร์สคนต่อไป มีคำแนะนำว่า เธอต้อง strong มากๆ พูดได้คำเดียว ถ้าเกิดอันนี้ไม่ใช่ฝันของเธอจริงๆ คือไม่ไหว ถ้าเป็นฝันของคุณ เป็นฝันของน้องๆ เชื่อเลยว่าน้องๆ จะเต็มที่ จะมุ่งมั่นมากๆ แล้วก็จะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง เพราะว่าไม่มีใครที่รู้จุดด้อยของเรา มากกว่าตัวเราเอง”