ไม่พบผลการค้นหา
โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ระบุ อาวุธสงครามที่พบในศรีสะเกษเป็นรุ่นเก่าสมัยประเทศเพื่อนบ้านขัดแย้งกันภายใน ยืนยันไม่มีอยู่ในครอบครองกองทัพไทย ยังไม่ชัดเกี่ยวกับกลุ่ม "โกตี๋" หรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.62) พบอาวุธสงครามทั้งกระสุน RPG และ M79 หลายร้อยลูกซุกซ่อนในคลองส่งน้ำบ้านขนุนเหนือ ต.สโน อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โดยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ EOD พบว่ามีสภาพพร้อมใช้ ซึ่งทาง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับอาวุธที่ยึดได้จากกลุ่มของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ นักเคลื่อนไหวกลุ่มเสื้อแดง เนื่องจากมีหมายเลขล็อตนัมเบอร์เหมือนกันในช่วงชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 และ 2557 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่นั้น

ล่าสุด วันนี้ พล.ต.อัครเดช บุญเทียม รองแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า พื้นที่ที่ตรวจพบอาวุธสงครามดังกล่าว เป็นพื้นที่รอยต่อชายแดนส่วนในคือถนนหมายเลข 24 ซึ่งเป็นพื้นที่เขตสู้รบช่วงที่ประเทศเพื่อนบ้านมีความขัดแย้งภายใน โดยอาวุธสงครามก็เป็นอาวุธในสมัยนั้น ซึ่งตนไม่อยากจะเอ่ยถึงประเทศผู้ผลิต หรือผู้ครอบครอง แต่ว่าอาวุธสงครามเหล่านี้ไม่ได้เป็นอาวุธที่ทางกองทัพภาคที่ 2 หรือกองทัพบก ครอบครองอยู่ เพราะรุ่นของอาวุธสงครามเหล่านี้เก่ามากกว่าอาวุธที่ทางกองทัพภาคที่ 2 ครอบครองอยู่ประมาณ 40 ปีมาแล้ว

ส่วนจะเป็นของใคร มาซุกซ่อนไว้เพื่อวัตถุประสงค์อะไรนั้น ก็จะเป็นหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองของกองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 3 ที่จะร่วมกันค้นหาความจริงต่อไป โดยจะเป็นอาวุธที่นำมาเพื่อไปขายในตลาดมืดหรือไม่ หรือมีไว้เพื่อก่อเหตุร้ายที่ใด ก็กำลังติดตามอยู่ตลอด ส่วนที่สงสัยว่าอาจจะเกี่ยวโยงกับกลุ่มการเมืองในประเทศหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ เพราะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ก่อน

"ฝากถึงประชาชนว่าการมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองจะมีโทษหนัก ซึ่งในช่วงที่ คสช.เปิดโอกาสนิรโทษกรรมให้ผู้ครอบครองอาวุธสงครามนำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ ก็ปรากฎว่ามีประชาชนนำมามอบให้จำนวนหลายตัน แม้ว่าช่วงนี้จะเลยช่วงนิรโทษกรรมมาแล้วก็ตาม ก็ยังมีช่องทางที่จะนำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร หรือตำรวจได้ หากผู้ครอบครองไม่ได้มีเจตนาก็สามารถอนุโลมเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายได้ แต่อย่านำไปซุกซ่อน หรือนำไปทิ้งไว้ในที่ต่างๆ เพราะกลัวความผิด ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายกับผู้บริสุทธิ์ได้" โฆษกกองทัพภาคที่ 2 กล่าว