ไม่พบผลการค้นหา
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชี้แจงการใช้จ่ายเงินสนับสนุน ศส.ปชต. เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และหลักกฎหมาย

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเผยแพร่ข่าวเลขที่ 388/2568 วันที่ 8 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่า

สำนักงาน กกต. ขอชี้แจงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ทางสื่อมวลชน กล่าวหาว่าการออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการใช้จ่ายเงินสนับสนุนหรือเงินอุดหนุนของศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย พ.ศ. 2567 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 มีลักษณะไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอชี้แจงดังนี้

​​1. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 มาตรา 22 บัญญัติให้ กกต. มีหน้าที่และอำนาจในการออกข้อกำหนด ระเบียบ หรือประกาศที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีหน้าที่และอำนาจในการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนในการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนหรือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ และเงื่อนไข ที่ กกต. กำหนด

​​2. กกต. ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนการส่งเสริมประชาธิปไตยในตำบล หรือที่รู้จักในชื่อ ศส.ปชต. มีหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ กกต. สำนักงาน กกต. ทั้งส่วนกลางและส่วนจังหวัด รวมถึงภาคีเครือข่ายในการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน การบูรณาการและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายพลเมืองเพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้และเผยแพร่ รณรงค์การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพิ่มจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ลดจำนวนบัตรเสีย เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย โดย ศส.ปชต. ทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 7,517 แห่ง และคณะกรรมการ ศส.ปชต. ในแต่ละตำบล เป็นผู้มีจิตอาสามาจากตัวแทนประชาชนทุกหมู่บ้าน ชุมชน ผู้แทนจากผู้นำสตรี อสม. ชมรมผู้สูงอายุ และบุคลากรทางการศึกษาจากสำนักงาน กศน. (ขณะนี้ใช้ชื่อว่าสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด (สกร.)) เป็นเลขาของ ศส.ปชต. ทั้งนี้ ศส.ปชต. ไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด

3. การเสนอโครงการของ ศส.ปชต. เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2568 ข้อ 36 ให้สำนักงาน กกต. เสนอของบประมาณประจำปี เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมของ ศส.ปชต ที่ผ่านการประเมินมาตรฐาน สามารถยื่นเสนอโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน หรือโครงการส่งเสริมการสร้างวิถีชีวิตประชาธิปไตยหรือโครงการอื่นในลักษณะเดียวกัน ให้สำนักงาน กกต. พิจารณาสนับสนุนงบประมาณแก่ ศส.ปชต. ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดย ศส.ปชต. ที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน สามารถเสนอโครงการ พร้อมรายละเอียดของกิจกรรม และงบประมาณการค่าใช้จ่ายต่อผู้อำนวยการสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด เพื่อพิจารณาตรวจสอบวัตถุประสงค์การดำเนินโครงการ ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่จะได้รับ เมื่อเห็นชอบให้เสนอสำนักงาน กกต. พิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับการอนุมัติโครงการแล้ว ให้สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด จัดทำบันทึกข้อตกลงตามแบบท้ายระเบียบ แล้วโอนเงินงบประมาณเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของ ศส.ปชต. ที่ได้รับการอนุมัติโครงการและดำเนินการตามประกาศสำนักงาน กกต.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการใช้จ่ายเงินสนับสนุน หรือเงินอุดหนุนของ ศส.ปชต. พ.ศ. 2567

4. ปีงบประมาณ 2568 สำนักงาน กกต. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดทำโครงการศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย กิจกรรมหลักที่ 4 ศส.ปชต. ขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมวิถีประชาธิปไตย จำนวน 3,000,000 บาท โดยจัดสรรให้ ศส.ปชต. ที่ผ่านการประเมินมาตรฐาน จำนวน 150 แห่ง ๆ ละ 20,000 บาท ทั้งหมด 63 จังหวัด เพื่อดำเนินกิจกรรมการอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนในแต่ละตำบล เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น

​​5. ศส.ปชต. ได้รับงบประมาณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการฝึกอบรมเป็นค่าสมนาคุณวิทยากร ค่าอาหาร ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็น สำนักงาน กกต. ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่จังหวัดใดเป็นการเฉพาะ หรือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด ตามที่เป็นข่าว ​​

ทั้งนี้ สามารถขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โทร 02 141 8888 หรือบริการสายด่วน 1444