ไบเดนได้เรียกปูตินว่าเป็น “นักสังหาร” ที่ “ไม่ควรจะอยู่ในอำนาจอีกต่อไป” ในการแถลงหน้าทำเนียบประธานาธิบดีโปแลนด์ หลังจากที่ไบเดนเองเคยเรียกปูตินว่าเป็น “อาชญากรสงคราม” ทั้งนี้ ในการแถลงเมื่อวาน (28 มี.ค.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำว่า ตนจะ “ไม่ขอโทษ” และจะไม่ “หันหลังกลับ” ไปจากคำพูดของตนเองที่วิจารณ์ประธานาธิบดีรัสเซียอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ ไบเดนย้ำว่าตนไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนระบอบการเมืองของรัสเซีย ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความผันผวนอย่างรุนแรงในการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า “ผมได้แสดงความโกรธแค้นเชิงศีลธรรมที่ผมรู้สึกกับชายคนนี้” ก่อนที่ไบเดนจะย้ำว่า “ผมไม่ได้ประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบาย” เพื่อชี้ชัดจุดยืนของสหรัฐฯ อีกครั้ง
พันธมิตรยุโรปตะวันตกได้ออกมาแสดงความกังวลต่อคำพูดของไบเดนก่อนหน้านี้ ที่อาจจะก่อให้เกิดการยกระดับสงครามในยูเครน ทั้งนี้ ไบเดนปฏิเสธความคิดดังกล่าวว่า คำพูดของตนจะไม่ยกระดับสถานการณ์ในยูเครน หรือสุมไฟให้กับโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียในเรื่องการรุกรานของตะวันตกเข้ามายังรัสเซีย
“ไม่มีใครเชื่อว่า… ผมกำลังพูดถึงการเอาปูตินลง” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำก่อนชี้ว่า “สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำคือสงครามทางบกหรือสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซีย” ทั้งนี้ ไบเดนระบุว่าการแสดงความเห็นของตนเป็นการแสดง “ปณิธาน” มากกว่าการกำหนดเป้าหมายเชิงนโยบายของสหรัฐฯ
“ผู้คนในลักษณะนี้ไม่ควรจะได้ปกครองประเทศ แต่พวกเขาก็ได้ปกครอง ในความเป็นจริงก็คือ การที่พวกเขาปกครองอยู่ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่สามารถแสดงความรู้สึกโกรธเคืองเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้” ไบเดนระบุ อย่างไรก็ดี คำพูดของไบเดนในกรุงวอร์ซอส่งผลให้ทำเนียบขาวออกแถลงว่า คำพูดที่รุนแรงของประธานาธิบสหรัฐฯ หมายถึงเพียงแค่ว่าปูติน “จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจของตนเองเหนือเพื่อนบ้านหรือในภูมิภาค”
ทั้งนี้ ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียได้ออกมาแถลงตอบโต้ว่า คำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม ทั้งนี้ ทางการรัสเซียย้ำว่าปูตินมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ที่มา: