รายงานข่าวระบุว่า อนุ กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณของเหล่าทัพรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
ในจำนวนนี้บางรายการเป็นจัดซื้อรถบัสไฟฟ้า จำนวน 300 ล้านบาท โดยอนุ กมธ.ตั้งข้อสังเกตว่ารถบัสของกองทัพบกส่วนใหญ่จะปฏิบัติภารกิจสมบุกสมบัน และเป็นภารกิจต่างจังหวัดระยะทางไกล การใช้รถบัสไฟฟ้าอาจจะไม่เหมาะสมกับภารกิจ ส่วนอีก 1,700 ล้านบาท เป็นงบประมาณผูกพันที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน อาทิ งบจัดหาเฮลิคอปเตอร์ ที่พบว่าบางโครงการยังจัดทำ TOR ไม่แล้วเสร็จ และบางโครงการงบประมาณในปีก่อนก็ยังคงเหลืออยู่ อนุกมธ.จึงมีมติให้เลื่อนงวดการรับงบประมาณดังกล่าวออกไปก่อน
เป็นงบที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ในส่วนของการจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมการใช้เรือดำน้ำ เนื่องจาก อนุกมธ.เห็นว่าการจัดหาเรือดำน้ำยังมีปัญหาในส่วนของเครื่องยนต์อยู่
เป็นส่วนของโครงการจัดหาเครื่องบินรบ F-35A จำนวน 2 ลำ เนื่องจากกองทัพอากาศยังไม่ได้รับคำยืนยันจากสหรัฐฯ ว่าจะขายให้หรือไม่
รายงานข่าวระบุว่า อนุ กมธ. จะนำรายงานการพิจารณาเสนอต่อ กมธ. ชุดใหญ่ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ซึ่งหน่วยรับงบประมาณที่ถูกปรับลดงบประมาณยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อกมธ.ชุดใหญ่ได้
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 27 ก.ค.2565 มีการประชุมสภากลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มอบนโยบายให้กับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกลาโหม เหล่าทัพ ปรับลดกำลังพลลงร้อยละ 5 ของยอดบรรจุในเดือน ก.ย.2563 ตามแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหม ระยะที่2 ระหว่างพ.ศ.2566-2570 สำหรับการนำยุทโธปกรณ์ใหม่เข้าประจำการนั้น ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยต้องควบคู่ไปกับการซ่อมปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้สอดคล้องกับขีดความสามารถด้านงบประมาณของประเทศต่อไป
สำหรับเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ ว่า ให้ดำรงความต่อเนื่องการจัดเตรียมกองทัพ ให้พร้อมสำหรับการพิทักษ์รักษา ปกป้อง และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การป้องกันและการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ของชาติและการช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของกองทัพ