ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของนิวซีแลนด์ ซึ่งผลบังคับใช้ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.ค.) นับเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล เพื่อการรณรงค์ต่อต้านการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งในวงกว้าง โดยผู้จับจ่ายใช้สอยส่วนใหญ่เริ่มนำถุงของตัวเองไปใช้ที่ร้านเองแล้ว หลังจากมาตรการสั่งห้ามใช้ถุงพลาสติกกลับบ้านในปี 2561
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศได้กำหนดค่าถุงหรือมาตรการห้ามใช้ถุงพลาสติก
“นิวซีแลนด์สร้างขยะมากเกินไป ขยะพลาสติกมีมากเกินไป” ราเชล บรูคกิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมนิวซีแลนด์กล่าว โดยเธอระบุเสริมว่า นิวซีแลนด์สามารถประหยัดถุงพลาสติกได้มากกว่า 1 พันล้านใบ นับตั้งแต่การห้ามใช้ถุงชนิดหนา ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2562 โดยมาตรการใหม่นี้คาดว่าจะป้องกันการใช้ถุงพลาสติกได้อีก 150 ล้านใบต่อปี
นักวิจารณ์ได้แสดงความกังวลว่า ผู้จับจ่ายใช้สอยอาจหาที่ใส่ของชำไว้ในถุงกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งยังคงมีจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต “มันยังคงคุ้มค่าที่จะทำเช่นนี้ แต่เราต้องการลดบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งจริงๆ” บรูคกิงกล่าว “เราต้องการให้ผู้คนนำถุงมาเอง และให้ซูเปอร์มาร์เก็ตขายถุงชนิดนำกลับมาใช้ใหม่ได้”
เคาท์ดาวน์ เชนซูเปอร์มาร์เก็ตดังของนิวซีแลนด์ ซึ่งมีหน้าร้านค้ามากกว่า 185 แห่งทั่วประเทศ เริ่มจำหน่ายถุงตาข่ายโพลีเอสเตอร์แบบใช้ซ้ำได้ โดยบริษัทหวังว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นให้ผู้ซื้อใช้ถุงผักและผลไม้ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ “เราทราบดีว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก และจะใช้เวลาสักครู่” คาเธอรีน ลันกาเบียร์ หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของเคาท์ดาวน์กล่าว อย่างไรก็ดี เธอระบุว่า “เราเจอกับลูกค้ารู้สึกไม่พอใจ (กับมาตรการแบนถึงพลาสติก)”
รัฐบาลนิวซีแลนด์มีความคืบหน้าในการริเริ่มอื่นๆ เพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในเดือน ต.ค. รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้เสนอให้มีการเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม เช่น แกะและวัว นับโครงการแรกของโลกที่จะให้เกษตรกรจ่ายเงินสำหรับการปล่อยมลพิษทางการเกษตรในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี 2568 ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการเกษตรของนิวซีแลนด์คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการปล่อยมลพิษทุกภาคอุตสาหกรรม
ที่มา: