เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ทำหนังสือถึงนายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ ระบุเรื่อง “ขอลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ” ลงวันที่ 24 ม.ค.65 โดย เรืองไกร เผยว่าตนสมัครมาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐได้ประมาณ 8 เดือนกว่าแล้ว และได้โอกาสทำงานที่ชอบคือกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2565 ในสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ
แต่หลังจากเป็น กมธ.วิสามัญดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยทำงานอื่นให้พรรคแต่อย่างใด จะทำก็เฉพาะงานตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ และพรรคการเมืองต่างๆ ในนามส่วนตัว ตามความถนัดอย่างมีอิสระ แต่การจะตรวจสอบเรื่องวาระนายกฯจะครบ 8 ปี ตามที่ตนให้ข่าวไปเมื่อต้นปี ตนได้รับการร้องขอให้ชะลอเรื่องไปก่อน กรณีนี้ทำให้ตนรู้สึกไม่อิสระ แต่ก็รอได้ เพราะยังมีเวลาอีกประมาณ 7 เดือน และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะพ้นจากนายกฯ ก่อนก็เป็นไปได้มาก
เรืองไกร กล่าวต่อว่า จากตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา ยังมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่ควรร้องขอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการต่อไป ซึ่งจะมีทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รัฐ ส.ส. รวมทั้งพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ มีประเด็นสำคัญหลายเรื่อง ที่อาจทำให้หลุดจากตำแหน่งหรือถูกดำเนินคดีตามมาได้ ซึ่งหากตนยังอยู่พรรคพลังประชารัฐต่อไป ก็คงตรวจสอบได้อย่างไม่อิสระ
เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความไม่มั่นคง สภาฯล่มบ่อย รัฐบาลได้รับการติติงมาก แต่ฝ่ายค้านส่วนมากก็ไร้ฝีมือ มีแต่ฝีปาก ไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างที่คุยโว ค้านแบบไม้หลักปักขี้เลน มีแต่สำบัดสำนวน ไร้สาระ ไร้น้ำยา ตนเห็นประเด็นสำคัญหลายเรื่อง จึงมีงานที่ต้องทำ และน่าจะทำได้ดีกว่าฝ่ายค้านในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเพื่อให้การทำงานตรวจสอบของตนดำเนินการได้อย่างอิสระ การไม่เป็นสมาชิกพรรค น่าจะเหมาะสมกว่า
นอกจากนี้มีรายงานว่า สดศรี สัตยธรรม สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคเพื่อขอลาออกจากสมาชิกพรรคฯ ด้วยเหตุผลส่วนตัว โดยมีผลนับจากวันที่ 20 ม.ค. 2565 นี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าจับตาว่า อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทั้งสองราย จะย้านเข้าพรรคเศรษฐกิจไทยตามกระแสข่าวหรือไม่