'เมอร์เซอร์' บริษัทให้คำปรึกษาด้านบริหารธุรกิจ มีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการสำรวจอัตราค่าครองชีพประจำปีครั้งที่ 25 พบว่าในการจัดอันดับ 10 เมืองที่มีอัตราค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก พบว่า มี 8 ใน 10 เมืองอยู่ในเอเชีย ซึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น และราคาที่อยู่อาศัยที่มีการผันผวนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะฮ่องกง ซึ่งยังคงครองตำแหน่งเมืองที่มีอัตราค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งเป็นผลจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงมาก
สำหรับเมืองอื่น ๆ ใน 10 อันดับแรก ได้แก่ โตเกียว (อันดับ 2) สิงคโปร์ (อันดับ 3) โซล (อันดับ 4) ซูริค (อันดับ 5) เซี่ยงไฮ้ (อันดับ 6) อาชกาบัต (อันดับ 7) ปักกิ่ง (อันดับ 8) นิวยอร์ก (อันดับ 9) และเซินเจิ้น (อันดับ 10)
โดยเมืองอาชกาบัต ประเทศเติร์กเมนิสถาน เป็นเมืองที่มีการไต่อันดับขึ้นมากที่สุด จากอันดับที่ 43 ในปี 2561 สู่อันดับที่ 36 ในปี 2562 เนื่องจากการขาดแคลนสกุลเงินและราคาสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนกรุงเทพฯ อยู่ที่อันดับที่ 40 ไต่ขึ้นมา 12 อันดับจากการสำรวจเมื่อปีก่อนหน้า โดยสาเหตุที่มีอัตราค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมาจากการย้ายถิ่นฐานของผู้อยู่อาศัยจากเมืองอื่น ๆ และผลของการเติบโตด้านเศรษฐกิจ โดยมีผลกระทบจากการผันผวนของค่าเงินและภาวะเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายมาริโอ้ เฟอราโร่ ผู้อำนวยการด้าน Global Mobility Practice ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของเมอร์เซอร์ กล่าวว่าเอเชียยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แม้เมืองในเอเชียจะมีอัตราค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่หลายองค์กรก็ยังคงเล็งเห็นความจำเป็นทางธุรกิจในการโยกย้ายพนักงานไปประจำในภูมิภาคนี้ องค์กรต่าง ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการระบุเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจนในการมอบหมายงาน และการวัดผลค่าตอบแทนจากการลงทุน
การจัดอันดับอัตราค่าครองชีพของเมอร์เซอร์ในปีนี้เป็นการเก็บข้อมูลจาก 20 เมืองใน 5 ทวีปทั่วโลก โดยวัดจากการเปรียบเทียบราคาของ 200 รายการในแต่ละเมือง ภายใต้หมวดหมู่ที่อยู่อาศัย การเดินทาง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ในบ้าน และความบันเทิง
ผลการสำรวจยังพบว่าในเมืองใหญ่ทั่วโลก ราคาของตั๋วภาพยนตร์ กาแฟ ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในฮ่องกงมีราคาแพงที่สุดในโลก ในขณะที่นมในกรุงปักกิ่งมีราคาสูงที่สุดในโลกถึง 4.45 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาของนมในกรุงนิวยอร์กที่ 1.21 ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงกว่าถึง 2.6 เท่า
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของเมอร์เซอร์เป็นหนึ่งในผลการศึกษาที่มีความครอบคลุมมากที่สุดในโลก และได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือองค์กรนานาชาติและหน่วยงานรัฐบาล ในการวางแผนค่าตอบแทนให้แก่พนักงานที่ย้ายไปประจำสาขาในต่างประเทศ โดยมีกรุงนิวยอร์กเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบอัตราราคา และใช้ดอลลาร์สหรัฐในการวัดการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินต่าง ๆ
นายอิเลีย โบนิก ประธานธุรกิจ Career ของเมอร์เซอร์ กล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ทักษะการทำงานเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) และการเชื่อมโยงเครือข่ายบุคลากรทั่วโลกเป็นพลังขับเคลื่อน องค์กรระดับโลกจึงต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการโยกย้ายพนักงานไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่องค์กรได้
นอกจากนี้ การย้ายพนักงานไปต่างประเทศยังมีข้อดีสำหรับทั้งตัวพนักงานเองและองค์กรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางอาชีพ ประสบการณ์ในระดับโลก การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และการโยกย้ายทรัพยากร ซึ่งการมอบข้อเสนอค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน จะทำให้องค์กรสามารถสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจได้จากการโยกย้ายพนักงาน
อย่างไรก็ดี 8 ใน 10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกของปีนี้ เป็นเมืองในเอเชีย จากราคาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น โดยฮ่องกงยังคงเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดทั้งในทวีปเอเชียและในโลกสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งมีสาเหตุจากตลาดที่อยู่อาศัยและค่าเงินที่ตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยโตเกียว (2) สิงคโปร์ (3) โซล (4) ซูริค (5) เซี่ยงไฮ้ (6) อาชกาบัต (7)
ขณะที่ เทล อาวีฟ (15) ยังคงครองเมืองที่แพงที่สุดสำหรับชาวต่างชาติในตะวันออกกลาง ตามมาด้วยดูไบ (21) อาบู ดาบี (33) และริยาร์ด (35) ในขณะที่กรุงไคโร (166) ครองตำแหน่งเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดของภูมิภาคนี้ ส่วนหนึ่งเพราะหลายสกุลเงินในตะวันออกกลางได้ตรึงค่าเงินสหรัฐดอลลาร์ ส่งผลต่ออันดับของเมืองต่างๆ ที่สูงขึ้น รวมถึงค่าเช่าที่พักอาศัยที่สูงขึ้นสำหรับชาวต่างชาติด้วย
ส่วนเอ็นจาเมนา (11) ยังคงครองตำแหน่งเมืองที่แพงที่สุดในแอฟริกา แม้ว่าจะตกลงจากหนึ่งในสิบเมืองที่มีค่าครองชีพที่สูงที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ ตามมาด้วยวิคตอเรีย (14) ซึ่งขึ้นมาเจ็ดอันดับ และกินชาซา (22) ซึ่งเพิ่มขึ้นมาสิบห้าอันดับ เมืองลีเบรอวิล (24) ตกลงมาหกอันดับ ส่วนเมืองตูนีส (209) ในตูนีเซียตกลงมาหนึ่งอันดับ และรั้งตำแหน่งเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดทั้งในภูมิภาคและของโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :