ทำให้ ทบ. รีบออกมาชี้แจงทันที ซึ่งไม่ใช่ใคร นั่นก็คือ ‘บิ๊กแดง’ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้ออกมาชี้แจงว่า ทาง ทบ. ได้มีการตรวจสอบเอกสารการเกณฑ์ทหารของ‘ธนาธร’แล้ว พบว่าเข้ารับการตรวจเลือกฯ ผ่านกระบวนการถูกต้องตามกฎหมาย
“กองทัพพบกไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนักการเมือง ที่มีข่าวออกมานั้น กองทัพบกเรายืนยันได้เลยว่าข่าวนั้นไม่เป็นความจริง เพราะนายธนาธรผ่านขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน“ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
จากนั้น พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า เมื่อเดือน เม.ย.2543 ‘ธนาธร’ ได้ขาดการตรวจเลือก แต่ผลการสอบสวนของทางราชการสรุปได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัย
จากนั้นในเดือน ก.ค.2543 ได้เสนอขอใช้สิทธิ์ผ่อนผันการตรวจเลือก ต่อมาเมื่อ เม.ย.2544 ได้แจ้งสละสิทธิ์การผ่อนผันและได้เข้ารับการตรวจเลือกทหารที่ เขตประเวศ กรุงเทพฯ
โดยผลการตรวจเลือกคือ ‘ปล่อยเพราะมีการร้องขอเต็มจำนวน’ และได้รับเอกสารใบรับรองผลการตรวจเลือก ‘แบบสด. 43’ เป็นที่เรียบร้อย
ทั้งนี้ รองโฆษก ทบ. ระบุเพิ่มเติมว่า เอกสารแบบ ‘สด.9’ เป็นเพียงหลักฐานในการขึ้นทะเบียนทหารกองเกินเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการผ่านหรือไม่ผ่านตรวจเลือกทหาร ซึ่งการตรวจเลือกทหารต้องยึดถือเอกสารใบ ‘สด.43’ เป็นหลัก
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสนใจว่า พล.อ.อภิรัชต์ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ทันที พร้อมย้ำว่า ทบ.ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนักการเมือง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อภิรัชต์ เปิดหน้าท้าชน ‘ธนาธร’ ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24มี.ค.62 ที่ให้สัมภาษณ์ช่วงต้นเดือน เม.ย.62 จุดเริ่มต้นที่มาของคำว่า ‘ซ้ายจัด ดัดจริต’ โดย พล.อ.อภิรัชต์ พุ่งเป้าไปที่พรรคการเมืองที่มีคนไปเรียนเมืองนอก แล้วมีแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับมา
แต่การดับเครื่องชนครั้งสำคัญคือการจัดทอร์คแผ่นดินของเราฯ โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์ ได้ขึ้นภาพเงาปริศนาถ่ายคู่กับ ‘โจชัว หว่อง’ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครคือ ‘ธนาธร’ นั่นเอง โดยมาพร้อมวาทะเดิม ‘ซ้ายจัด ดัดจริต’ แต่เพิ่มเติมด้วยคำว่า ‘ฮ่องเต้ซินโดรม’
ทั้งนี้มีการมองว่ากรณีที่เกิดขึ้นของ ‘ธนาธร’ เป็นแรงตีกลับจากการเดินสายรณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นที่แน่นอนว่าเป้าหมายนี้เพื่อ ‘ดิสเครดิต’ หาก ‘ธนาธร’ ไม่ได้ทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่ง ‘ธนาธร’ ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจตัวเอง โดยชี้แจงว่าตัวเองไปจับใบดำและใบแดงมาด้วย
แต่สิ่งที่ ‘ธนาธร’ ฝากทิ้งท้ายคือขอให้ช่วยกันคิดถึงกรณีที่บรรดานายพลไม่ยอมยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เพราะพวกเขาได้ประโยชน์จากการทุจริตคอร์รัปชันในระบบแบบนี้ใช่หรือไม่ สูบเลือดจากประชาชนที่ยอมติดสินบนเพื่อหนีทหารใช่หรือไม่ แล้วแต่ละปีมี ‘เงินนอกงบประมาณ’ ประเภทนี้มากเท่าไหร่
ซึ่งจุดนี้เองทาง ทบ. ไม่ได้ชี้แจง แต่ พล.อ.อภิรัชต์ เลือกที่จะเลี่ยงตอบโต้ โดยกล่าวแค่เพียงว่า “กองทัพบกไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนักการเมือง” ออกมาแทนสั้นๆ ซึ่ม รองโฆษก ทบ. ก็ได้ขยายข้อความนี้ตามมาอีกครั้ง โดยเน้นเรื่องความสัมพันธ์ของทหารกับฝ่ายการเมือง
“ขอตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีผู้ไม่หวังดีดำเนินการเรื่องดังกล่าวขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงหวังให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือมุ่งสร้างให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ในทางการเมืองและทำให้สังคมสับสน ขออย่าได้นำข่าวปลอมนี้ไปเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์ของกองทัพกับฝ่ายการเมือง เพราะไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกัน” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ ระบุ
แน่นอนว่าคำถามของ ‘ธนาธร’ เรื่องเงินสินบนยังคงค้างคาอยู่ ได้ถูกนำไปผูกโยงกับเรื่อง ‘เงินนอกงบประมาณ’ ตามที่ ‘ธนาธร’ เคยอภิปรายใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร..บ.งบฯ ปี2563 ที่สภา ก่อนจะประกาศลาออกทุกตำแหน่งในสภา โดยขณะนั้น ‘ธนาธร’ ได้ทำการ ‘ทุบหม้อข้าวทหาร’ โดยตั้งคำถามถึง ‘เงินนอกงบประมาณ’ กระทรวงกลาโหม 1.8 หมื่นล้านบาท
โดยขอให้กระทรวงกลาโหมเปิดเผยรายได้จาก ‘สัญญาสัมปทานวิทยุ-ทีวี’ พร้อมขอรายละเอียดทั้งสนามม้า สนามมวย หวย และงบไอโอ และตั้งคำถามว่าทำไมเหล่านายพลรวยผิดปกติ โดยมองว่านายพลส่วนใหญ่มี ‘Side Business’ หรือทำธุรกิจคู่ขนานกับการรับราชการ หลังดูจากบัญชีทรัพย์สินของ สนช. ที่ได้แจ้งกับ ป.ป.ช. ไว้
อีกทั้งนับตั้งแต่ พล.อ.อภิรัชต์ จัดทอล์กแผ่นดินของเราฯ ตั้งแต่ 11ต.ค.62 ก็หลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์สื่อและปฏิบัติงานเงียบๆใน ทบ. ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการออกมาของ พล.อ.อภิรัชต์ แต่ละครั้งย่อมมี ‘สัญญาณ-นัยสำคัญ’เสมอ ทั้งนี้ ‘การเงียบ’ ก็ถูกตีความว่าเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน
ล่าสุด กกต. มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีพรรคกู้ยืมเงินจาก ‘ธนาธร’ 191 ล้านบาท โดยกรณีนี้จะมีผลผูกพันไปถึง ‘กรรมการบริหารพรรค’ ด้วยว่าจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองหรือไม่ แน่นอนว่ากระทบกุนซือ-คีย์แมนพรรคคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’เลขาธิการพรรค ที่ถือเป็นหัวเรือหลักของพรรคในการอภิปรายในสภา
เปรียบเป็น ‘เคราะห์ซ้ำกรรมซัด’ ของทั้ง ‘ธนาธร’ และ ‘พรรคอนาคตใหม่’ ที่ระส่ำทั้งคนและพรรค ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็มีแรงตีกลับมาและมีเรื่องแทรกซ้อนเข้ามาตลอด รวมทั้งต้องจับตาถึงการเคลื่อนไหวของมวลชนพรรคจะเป็นอย่างไร ซึ่งจากแถลงการของ ‘ปิยบุตร’ ได้ค้านมติ กกต. พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมามีการบอกว่านักการเมืองพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระ แต่หลังการรัฐประหารก็มีความสงสัยว่าผู้มีอำนาจพยายามแทรกแซงองค์กรอิสระ มีใบสั่งกดปุ่มได้อย่างใจนึก
รวมทั้งปรากฏการณ์ในทวิตเตอร์ของพรรคอนาคตใหม่ที่ขึ้นแฮชแท๊ก #กลัวที่ไหน หลัง กกต. มีมติปมยุบพรรคด้วย โดยก่อนหน้านี้มีปรากฏการณ์ #อยู่ไม่เป็น มาแล้ว ก่อนที่ศาล รธน. จะวินิจฉัยให้ ‘ธนาธร’ พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. ด้วย แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวของมวลชนลงถนน
ซึ่งกรณี ‘ยุบพรรค’ ถือเป็นอีกระเบิดเวลาทางการเมือง ที่กลับมี ‘เสียงเตือน’ ออกมาจากคนจำพวกเดียวกัน ให้ระวังจะซ้ำรอยอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะกระแสจากคนกลางๆ นั้นสำคัญและอาจเป็นคุณกับพรรคอนาคตใหม่แทนก็เป็นได้ และเป็นโทษกับฝ่ายตรงข้ามพรรคอนาคตใหม่เอง โดยเฉพาะพลังศรัทธา
ทั้งนี้ต้องตั้งอีกคำถามคือการมีอยู่ของพรรคอนาคตใหม่จะเป็นคุณอย่างไร ? เว้นแต่เป็นเรื่อง ‘โชคชะตาลิขิต’ ไว้เท่านั้น
จับตาจะเป็น ‘หนังฉายซ้ำ’ หรือ ‘หนังเรื่องใหม่’ กันแน่ !!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง