ไม่พบผลการค้นหา
ผู้บุกเบิกเว็บบอร์ดนางงามแห่งแรกของประเทศไทย วิเคราะห์ ฟ้าใส มีโอกาสคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์ส มองแนวโน้มอยู่ที่ละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคที่เวทีการประกวดกลายเป็นธุรกิจมากกว่าวาระแห่งชาติ ผู้เข้าประกวดต้องตอบโจทย์ภาพลักษณ์องค์กรและธุรกิจ

โชคชัย ชมพืช หนึ่งในผู้บุกเบิกเว็บบอร์ดนางงามแห่งแรกของประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ถึงการประกวดนางงามซึ่งมักจะมีความเกี่ยวโยงกับการเมืองโลกมาโดยตลอด

ยกตัวอย่าง การประกวดมิสเวิลด์ ปี 1970 เจนนิเฟอร์ ฮอสเตน จากประเทศเกรเนดา ได้ครองมงกุฎมิสเวิลด์ ซึ่งถือเป็นนางงามผิวสีคนแรกๆ และเป็นนางงามคนเดียวจากเกรเนดาที่ชนะการประกวด ขณะเดียวกันมีนางงามจากประเทศเดียวกัน แต่ลงประกวดคนละสายสะพาย โดยสาวงามผิวขาว Miss South Africa ได้รองชนะเลิศอันดับสี่ และสาวงามผิวสี Miss Africa South ได้รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง นอกจากนี้การประกวดในปีนั้นเกิดการประท้วงและไม่ยอมรับจากผู้ชมในการใส่ชุดว่ายน้ำประกวด ทำให้เกิดกระแสดังไปทั่วโลก

หลังจากนั้นปี 1977 เป็นครั้งแรกที่สาวผิวสีได้ครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส คือ จาเนลล์ คอมมิสซิออง จากประเทศตรินิแดดและโตเบโก แต่ถึงอย่างนั้นเธอเองเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะบินกลับมาประกวดที่ประเทศตรินิแดดและโตเบโก ขณะที่รองชนะเลิศทั้ง 4 อันดับคือสาวผิวขาว หรืออย่างประเทศไทย ปี 1965 อาภัสสรา หงสกุล ได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส ก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของสงครามเวียดนาม

การประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2008 จัดการประกวดที่เมืองญาจาง ประเทศเวียดนาม และมีการออกแบบมงกุฎโดยประเทศเวียดนาม ซึ่งทางทีวีที่ถ่ายทอดสดต้องการประชาสัมพันธ์เมืองญาจางของเวียดนามโดยเฉพาะ ขณะที่ประเทศจีนเอง นอกจากตอนนี้จะเป็นมหาอำนาจในด้านเศรษฐกิจ จีนยังเป็นประเทศเดียวที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดนางงาม 3 เวทีใหญ่ระดับแกรนด์สแลมครบ ได้แก่ มิสยูนิเวิร์ส มิสเวิลด์ และมิสอินเตอร์เนชั่นแนล

สัมฯพิเศษ พี่เอก

การประกวดนางงามในยุคที่เป็นธุรกิจ

ในฐานะแฟนนางงามที่ติดตามมาตลอดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 หรือ พ.ศ. 2522 เป็นปีแรกที่สาวงามจากเวเนซูเอลา ประเทศมหาอำนาจในวงการนางงาม ได้ครองมงกุฎมิสยูนิเวิร์สครั้งแรก จนถึงทุกวันนี้ ตนยังเชื่อว่าการประกวดนางงามทุกปีย่อมมีนัยทางการเมืองโลกแฝงอยู่ แต่ถ้าผู้ชนะในเวทีนั้น สมเหตุผลทั้งกายภาพ องค์ประกอบรอบกาย ความฉลาด ก็ไม่มีใครคัดค้านได้

ขณะเดียวกันเวทีการประกวดต่างๆ ในทุกวันนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมเป็นวาระระดับชาติของประเทศหรือเมืองที่เป็นเจ้าภาพเหมือนอดีตแล้ว ความขลังและมนต์เสน่ห์ก็หายไปมาก เพราะเวทีการประกวดต่างๆ ทุกวันนี้มันคือธุรกิจล้วนๆ การส่งนางงามไปประกวดเหมือนส่งตัวแทนไปสอบสัมภาษณ์ ทดสอบความสามารถพิเศษ เพื่อที่จะเข้าไปเป็นพนักงานบริษัทของเจ้าของเวทีนางงามนั้นๆ ถ้าสอบผ่านก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จ และถือว่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่ถ้าไม่ผ่านโปรฯ ก็เหมือนปฏิบัติภารกิจไม่ครบและสละตำแหน่งไป เช่น Miss Universe 2000 ฯลฯ

เนื่องจากยุคที่เปลี่ยนไปทำให้ธุรกิจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การประกวดนางงามเพื่อเกียรติยศ เพื่อความดีงามของประเทศชาติ มันเริ่มจะไม่พอ

อย่างไรก็ตาม คุณค่าและความงามของการประกวดนางงามในแต่ละยุคก็ต่างกัน เช่น มิสยูนิเวิร์ส ยุคแรกคือความสวย ต่อมาคือสวยและฉลาด และเริ่มมีความเท่ และยุคปัจจุบันคือ Empowering Woman สวยอย่างเดียวไม่ครบ แม้บางเวทีก็ยังคงคอนเส็ปเดิมคือต้องการคนสวยก็สวยจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีการปรับให้เข้ากับธุรกิจ

นางงามที่จะชนะการประกวดเองก็ต้องทำงานเข้ากับกองประกวดได้ สวย ฉลาดพูด นำเสนอองค์กรได้ เป็นที่น่าเชื่อถือ และสามารถสร้างรายได้ได้มาก ประกอบกับการเปลี่ยนองค์กรที่ถือลิขสิทธิ์ก็ย่อมเปลี่ยนโจทย์ในการเฟ้นหานางงามตามไปด้วย เช่น Miss Universe ในยุคทรัมป์ กับยุค IMG ก็แตกต่างกัน

ทุกวันนี้คอนเซ็ปการรับสาวงามเข้าประกวดก็เปิดกว้างขึ้น ให้สาวข้ามเพศประกวดได้ เหมือนปี 2018 และช่วงหลังผู้ชนะแต่ละปีก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าสาวงามที่เข้าประกวดคนไหนจะตรงใจ หรือแสดงให้กรรมการเห็นในสิ่งที่กองประกวดอยากได้และทำออกมาให้ตรงใจ  


แนวโน้มมิสยูนิเวิร์สคนถัดไปอยู่ที่ ละตินอเมริกา-เอเชีย

เมื่อถามถึงแนวโน้มของการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 โชคชัย กล่าวว่า ความพิเศษของการประกวดปีนี้คือการถ่ายทอดสดผ่านเครือข่ายทีวี Telemundo ด้วย ซึ่งเป็นภาษาสเปนและมีคนดูจำนวนมาก ขณะที่เมื่อสองสามปีก่อน เรตติ้ง ช่อง Fox ที่ถ่ายทอดสดการประกวดตกลงไปมาก กองประกวดก็ต้องวิเคราะห์หาเหตุผล เช่น เป็นที่คอนเทนต์ หรือตัวผู้เข้ารอบ ฯลฯ

ดังนั้นในปีนี้จึงมีแนวโน้มว่านางงามจากโซนละตินอเมริกา หรือประเทศที่ใช้ภาษาสเปนอาจมีโอกาสเข้ารอบมากขึ้น หากไม่มีนางงามโซนนี้เข้ารอบเลย คนที่ดูช่อง Telemundo ก็ต้องพากันปิดทีวีแน่นอน เมื่อถามว่านางงามละตินคนไหนน่าสนใจ โชคชัย กล่าวว่า ตนไม่ใช่กูรู แต่ขอตอบในมุมของตัวเองที่ชอบ คือ เมดิสัน แอนเดอร์สัน มิสยูนิเวิร์สเปอร์โตริโก อดีตรองอันดับ 3 Miss Grand International 2016 แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูภาพรวมหลังจากสาวงามเข้ากองประกวด ยิ่งไปกว่านั้นการประกวดปีนี้สั้นกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ที่มีการเก็บตัว 2-3 สัปดาห์ แต่ครั้งนี้มีการเก็บตัวแค่ 10 วัน ยังไม่นับการประกวดรอบชุดประจำชาติ พรีลิมมินารี การสัมภาษณ์ทัศนคติในห้องเย็น และการประกวดรอบตัดสิน ทำให้จะเหลือเวลาทำกิจกรรมจริงๆ ไม่ถึง 7 วัน ตนจึงเชื่อว่ากองประกวดต้องทำการบ้านไว้ก่อนนางงามจะไปถึง โดยดูจากภาพและวีดิโอเปิดตัวของนางงามแต่ละประเทศที่ส่งให้กองประกวดไปก่อนหน้านี้ และอาจจะมีการสกรีนรอบแรกไว้แล้ว เช่นเดียวกับสปอนเซอร์ของการประกวดที่ประกาศรายชื่อ 15 สาวงามที่จะได้ทำกิจกรรมกับสปอนเซอร์ ซึ่งก็มีรายชื่อนางงามไทยด้วย

นอกจากนี้ ประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างก็มีกระแสความนิยมการประกวดนางงามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ ไทย อินโดนีเซีย โดยเฉพาะเวียดนามและเมียนมาที่มีกำลังในการโหวตให้คะแนนนางงามสูง เมื่อก่อนประเทศที่มีอิทธิพลในวงการนี้คือ เวเนซูเอลา กับสหรัฐอเมริกา แต่ในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ ประเทศในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแม่ในวงการนางงามเช่นกัน และนางงามจากเอเชียก็เข้ารอบสุดท้ายในหลายเวทีอยู่บ่อยๆ เห็นได้จากการประกวดรอบสุดท้ายของมิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 ที่ 4 คนสุดท้ายที่จับมือกันก็มีแต่เอเชีย คือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย

ตราบใดที่ยังไม่มีประเทศที่มีความคลั่งไคล้การประกวดได้เท่าเรา เทรนด์นางงามก็จะยังอยู่ในโซนนี้ เพราะการมีกองเชียร์ที่ดีก็ย่อมมีภาษีกับกรรมการ ถ้าเสียงเฮดังมาก มีหรือที่จะไม่พิจารณาผู้เข้าประกวดคนนั้นๆ

นางงาม

สายสะพายไทยแลนด์และการตีโจทย์กองประกวด

ทั้งนี้ ตนยังเห็นว่า ฟ้าใส - ปวีณสุดา ดรูอิ้น มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 เป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่มีโอกาสล้นมงกุฎ เพราะเธอสวย ภาษาอังกฤษดีมาก ฉลาดให้สัมภาษณ์ได้ดี และมีประสบการณ์ประกวดนางงามมาหลายเวที โพลและนักวิจารณ์ทั่วโลกก็จัดอันดับให้ฟ้าใสติดหนึ่งในสามของผู้เข้าประกวดที่มีโอกาสชนะเลิศ ตนถึงขั้นกล่าวว่า ไม่แน่ว่าต้นเดือนธันวาคมอาจมีประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทย และเมื่อพูดถึงเวทีระดับแกรนด์สแลมอีก 2 เวที คือ มิสอินเตอร์เนชั่นแนล บิ๊นท์ - สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ ก็เพิ่งคว้ามงกุฎแรก หลังจากที่ส่งประกวดมา 52 ปี ส่วนเวทีมิสเวิลด์ 2019 ตัวแทนไทยคือ เกรซ - นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ มีจุดแข็งคือมีสเน่ห์เวลาพูด กล้าพูด และมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี ซึ่งเวทีนี้ทัศนคติคือสิ่งสำคัญ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการให้คะแนนสำคัญของทุกเวที คือ ช่วงเก็บตัว กรรมการจะดูทุกอย่าง เช่น การสละที่นั่งให้คนอื่น ก็อาจจะทำให้องค์กรเห็นความมีน้ำใจ หรือความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานในกองประกวดก็เป็นสิ่งสำคัญ

อะไรที่ใช่มันก็คือใช่ เพราะยุคนี้ ไม่ใช่การประกวดหาความสวย แต่ต้องสวย เก่ง ฉลาด นอกจากนี้ อนาคตนางงามต้องมีภาพลักษณ์ รูปลักษณ์และอัตลักษณ์ที่เสริมองค์กรการประกวดนั้นๆ และหารายได้ได้ อย่างไรก็ตามการจะชนะเลิศ คือ ต้องตอบโจทย์องค์กร และแสดงให้เห็นในเชิงประจักษ์ ซึ่งจะไม่มีใครต้านได้ ยกตัวอย่าง แคทริโอนา เกรย์ ที่ชนะการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 แบบขาดลอย