ไม่พบผลการค้นหา
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ของเวียดนามอย่าง Vinfast ได้รับการประเมินมูลค่าตลาดหุ้นของบริษัททะยานเหนือ Ford และ General Motors (GM) ในวันแรกของการเปิดการซื้อขาย

หุ้นในบริษัท Vinfast ซึ่งยังไม่ทำกำไร ปิดตลาดที่เหนือ 37 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,308 บาท) ในการเปิดตัวที่นิวยอร์ก ส่งผลให้ VinFast ได้รับการประเมินมูลค่าตลาดหุ้นที่ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าของมูลค่าตลาดหุ้นของ Ford ที่ 4.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.69 ล้านล้านบาท) และของ GM ที่ 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท) อย่างมาก

มูลค่าหุ้นของ Vinfast ที่พุ่งขึ้นสูงครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และผู้ผลิตรายใหม่ซึ่งกำลังต่อสู้กัน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดรถไฟฟ้า EV ที่เฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆ 

ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มความมั่งคั่งกว่า 3.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.37 ล้านล้านบาท) แก่ ฟามนัทเวือง ประธานและผู้ก่อตั้ง VinFast ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเวียดนามอยู่แล้ว ทั้งนี้ เอกสารที่ยื่นต่อทางการแสดงให้เห็นว่า ฟามควบคุม 99% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของบริษัท โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ขายผ่าน Vingroup JSC ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม

ตัวเลขดังกล่าวจำกัดจำนวนหุ้นที่นักลงทุนรายอื่นสามารถซื้อขายได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การแกว่งตัวของราคาอย่างมาก ทั้งนี้ การซื้อขายหุ้น VinFast ค่อนข้างเบาบางลงในวันอังคาร (15 ส.ค.) โดยมูลค่าหุ้นประมาณ 185 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6.5 พันล้านบาท) ถูกเปลี่ยนมือ

บิล รุสโซ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Automobility ในนครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า "นักลงทุนยังคงเชื่อว่าอนาคตคือพลังงานไฟฟ้า และประเทศในเอเชียตะวันออกที่มีต้นทุนต่ำ จะกลายเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ" รุสโซยังกล่าวเสริมอีกว่า "ตลาดเชื่อว่า เมื่อพิจารณาจากภูมิรัฐศาสตร์แล้ว เวียดนามจะเป็นประเทศนั้น ไม่ใช่จีน"

แทนที่จะขายหุ้นแบบทั่วไป VinFast เปลี่ยนมาเป็นบริษัทมหาชนโดยใช้บริษัทเปล่า หรือบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ (Spac) ทั้งนี้ สตาร์ทอัพมักใช้ Spac เพื่อเร่งกระบวนการที่มักช้าและมีราคาแพง ในการทำให้บริษัทเอกชนเข้าสู่บริษัทมหาชน กล่าวโดยสรุปคือเป็นการรวมบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เข้ากับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ ผู้ผลิต EV หลายรายรวมถึง Lordstown Motors และ Faraday Future เข้าสู่บริษัทมหาชน โดยใช้ Spacs ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ทั้งสองบริษัทได้สูญเสียมูลค่าตลาดหุ้นไปมากกว่า 90% นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ

รุสโซกล่าวว่า VinFast อาจแตกต่างออกไปจากสองบริษัทข้างต้น เพราะ "พวกเขาได้รับการสนับสนุนจาก Vingroup เป็นหลัก ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าถึงแหล่งเงินทุน จากธุรกิจที่มีประวัติการเติบโตที่ได้รับการพิสูจน์ตัวแล้ว" รุสโซกล่าวเสริมว่า “สตาร์ทอัพ EV ส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะพวกเขาไม่มีแกนหลักที่ทำกำไรได้  และในที่สุดเงินทุนจากภายนอกก็หมดลง เนื่องจากพวกเขาเผาผลาญเงินทุนได้เร็วกว่าที่พวกเขาสร้างเงินสด”

อย่างไรก็ดี VinFast เผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน เนื่องจากบริษัทผู้เล่นรายใหญ่กำลังต่อสู้เพื่อครอบครองตลาด ทั้งนี้ ผู้นำตลาดรถ EV ได้ลดราคารถของพวกเขาลงเพื่อกระตุ้นยอดขายรถ ซึ่งรวมถึง Tesla ของ อีลอน มัสก์ และ BYD ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนมากประสบการณ์ 

ตามการนำเสนอตัวเลขยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี VinFast ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 11,300 คัน โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Tesla สามารถส่งมอบรถยนต์ EV ได้มากกว่า 889,000 คันในช่วงเวลาเดียวกัน

"Tesla จะยังคงเป็นผู้นำที่ชัดเจนในด้าน EV แต่จะมีผู้ชนะมากมาย" แดน อีฟส์ จาก Wedbush Securities กล่าว "VinFast ได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความสำเร็จของ EV"


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/business-66517549?fbclid=IwAR2VS8dJ8jqS0msbTofqzLjCDTxHe2yf3Qr1czj2MjYxM2P31tQlvPTJerQ