ไม่พบผลการค้นหา
กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ยิงโดรนสอดแนมสหรัฐฯ ตก หลังรุกล้ำน่านน้ำ ด้านกองทัพสหรัฐฯ ให้การขัดแย้ง ยิืนยันบินเหนือพื้นที่สากล

ในวันที่ 20 มิถุนายน กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เผยว่าได้ยิงโดรนสอดแนมของสหรัฐฯ ตกหนึ่งลำ โดยชี้ว่าโดรนดังกล่าวรุกล้ำน่านฟ้าอิหร่าน ใกล้ช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางสำคัญของเรือบรรทุกน้ำมัน ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุเรือน้ำมันระเบิดที่สหรัฐฯ อ้างว่าเป็นการโจมตีของอิหร่าน

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เผยผ่านว่าโดรนดังกล่าว คืออากาศยานไร้คนขับ RQ-4 โกลบอลฮอว์ก (Global Hawk) ของสหรัฐฯ โดยอิหร่านยิงโดรนดังกล่าวด้วยมิสไซล์ หลังบินละเมิดน่านฟ้าอิหร่าน เหนือน่านน้ำจังหวัดฮอร์มอซกัน

โดรนโกลบอลฮอว์กของสหรัฐฯ มีความกว้างปีก 39.8 เมตร ยาว 14.5 เมตร และสูง 4.7 เมตร อย่างไรก็ตาม กองกำลังอิหร่านฯ ไม่ได้เผยแพร่ภาพของโดรนดังกล่าวโดยทันที

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังความตึงเครียดและการกล่าวหากันระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ในเหตุการณ์โจมตีเรือขนส่งในพื้นที่ใกล้เคียงเมื่อไม่นานนี้ โดยในวันที่ 13 พฤษภาคม เรือบรรทุกสินค้า 4 ลำ รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ถูกโจมตีบริเวณอ่าวเปอร์เซีย และเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ก็มีเรือบรรทุกน้ำมันสองลำ ถูกโจมตีในอ่าวโอมาน

สหรัฐฯ กล่าวว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีที่เกิดขึ้น ทว่าทางการอิหร่านปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ พร้อมกล่าวเป็นนัยว่าเป็นรัฐบาลสหรัฐฯ เองที่จัดฉากเพื่อสร้างสถานการณ์เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังบุกอิหร่าน

นายพลฮุสเซน ซาลามี หัวหน้ากองกำลังอิหร่านฯ กล่าวว่าการยิงโดรนของสหรัฐฯ ที่รุกล้ำเขตแดนมาในวันพฤหัสบดีนี้ เป็นคำยืนยันชัดเจนว่าอิหร่านจะปกป้องเขตแดนของตัวเอง และอิหร่านจะตอบโต้การรุกรานใดๆ จากต่างชาติทั้งหมดอย่างเด็ดขาด

"เราขอประกาศว่าเราไม่ต้องการทำสงครามกับประเทศไหน แต่เราพร้อมจะตอบโต้การประกาศสงครามใดๆ ก็ตาม" ฮุสเซน ซาลามี กล่าวกับสำนักข่าวตัสนีมของอิหร่าน

สำนักข่าวอินดีเพนเดนต์ รายงานว่ากองทัพสหรัฐฯ ซึ่งในทีแรกปฏิเสธจะยืนยันการถูกโจมตีของโดรน ออกมาแถลงในภายหลังว่าโดรนที่ตกคือ MQ-4C ไตรตัน (Triton) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งถูกโจมตีโดนมิสไซล์ของอิหร่านเหนือน่านน้ำสากล ขัดแย้งกับที่กองกำลังอิหร่านฯ ทั้งในส่วนที่เผยว่าเป็นรุ่น RQ-4 และส่วนที่ระบุว่าโจมตีโดรนดังกล่าวในน่านน้ำของอิหร่านเอง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ที่มา: The Independent / The Guardian / AFP