ไม่พบผลการค้นหา
ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเซ็กส์ทอยรายใหญ่ อนุญาตให้พนักงานลาหยุดเพื่อ 'ช่วยตัวเอง' ได้ เพราะเชื่อว่าเป็นการเติมเต็มความสุขและความพึงพอใจของพนักงาน ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

เว็บไซต์มิร์เรอร์ของประเทศอังกฤษ รายงานว่า บริษัท LELO UK ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเซ็กส์ทอยชั้นนำในประเทศอังกฤษ กลายเป็นบริษัทแรกของประเทศที่อนุญาตให้พนักงานได้สิทธิลาหยุดเพื่อช่วยตัวเอง เรียกว่า 'self-love day' เนื่องจากเชื่อว่าการช่วยตัวเองให้สำเร็จความใครจะช่วยเติมเต็มความสุขในชีวิตของพนักงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างความสุขในที่ทำงาน โดยวันหยุดพิเศษนี้ ลูกจ้างจะได้รับการสนับสนุนให้หาความสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องทำอะไรนอกเหนือจากการบำเรอความใคร่ตัวเอง

ก่อนบริษัทจะประกาศให้มีวันหยุดนี้ ได้มีการสำรวจความคิดเห็นพนักงานบริษัท 2,006 คนทั่วอังกฤษว่าอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกเติมเต็มมากที่สุด โดยที่ร้อยละ 70 เชื่อว่าการถึงจุดสุดยอดทำให้พวกเขามีความสุข ทั้งที่เกิดจากตัวเองและจากคู่นอนของพวกเขา ในขณะที่ร้อยละ 66 บอกว่าพวกเขาทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากบรรลุจุดสุดยอด กับร้อยละ 40 ที่เชื่อว่า ผลของการถึงจุดสุดยอดนี้ทำให้พวกเขามีแรงทำงานตลอดทั้งสัปดาห์หลังจากนั้น

ด้านเรเชล นโซฟอร์ โฆษกของบริษัทดังกล่าวเปิดเผยว่า การถูกเติมเต็มด้านทางเพศ และความพึงพอใจในอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่บริษัทถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งผลจากการทำวิจัยนี้ ทำให้บริษัทยินดีที่จะริเริ่มข้อเสนอเรื่องวันหยุด โดยอนุญาตให้ลูกจ้างของบริษัท LELO ในอังกฤษได้รับโอกาสลาหยุดเพื่อช่วยตัวเอง (self-love day) ได้ 4 วันต่อปี 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานระบบสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) เปิดเผยว่า การถึงจุดสุดยอดช่วยให้สามารถรับมือกับแรงกดดันในแต่ละวัน อีกทั้งผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ชี้ให้เห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์หรือช่วยตัวเองสามารถช่วยลดระดับความเครียดลงได้ 

ขณะที่เว็บไซต์ธุรกิจ 'บิสซิเนสอินไซเดอร์' รายงานว่าบริษัท LELO สำนักงานใหญ่อยู่ในสวีเดน แต่การจัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นจนนำไปสู่การกำหนดวันลาหยุด self-love day เป็นของบริษัทในอังกฤษ LELO UK โดยบทสรุปของแบบสำรวจดังกล่าวระบุว่า ความสุขจากการเติมเต็มในชีวิตของพนักงานจะช่วยให้บริษัทเพิ่มผลิตผลและประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึงร้อยละ 10 หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ประมาณ 90,445 ล้านปอนด์ (ราว 3.7 ล้านล้านบาท) ต่อปี

ผลวิจัยดังกล่าวร่วมจัดทำโดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวอร์ริก, สถาบันธุรกิจนานาชาติลอร์ดแอชครอฟต์ ในสังกัดมหาวิทยาลัยแองเกลียรัสกิน, วิทยาลัยธุรกิจในสังกัดมหาวิทยาลัยโอเรกอน และสถาบันสังคมศาสตร์แห่งยูซีแอล

Photo by Sharon McCutcheon on Unsplash

ที่มา : Yahoo News , Mirror , Business Insider