ไม่พบผลการค้นหา
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พูดคุยกับสื่อมวลชนในหัวข้อร้อน 'โควิดและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ'
ประเด็นแรก “เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด 19 อย่างไรบ้าง”  

สถานการณ์โควิด 19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง ธุรกิจและประชาชนต้องปรับตัวอย่างมาก ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดกิจการและประชาชนถูกเลิกจ้าง ปัญหาที่ชัดเจน คือ รายได้ที่หายไปและจะหายไปเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาเราเห็น 4 อาการของเศรษฐกิจไทย 

อาการแรก: “หลุมรายได้” ขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ ในช่วงปี 2563-2564  คาดว่ารายได้จากการจ้างงานจะหายไปถึง 1.8 ล้านล้านบาท จากนายจ้างและอาชีพอิสระ 1.1 ล้านล้านบาท และลูกจ้าง 7 แสนล้านบาท มองไปข้างหน้า การจ้างงานคงฟื้นตัวไม่เร็วและรายได้จากการจ้างงานในปี 2565 คาดว่า จะหายไปอีกราว 8 แสนล้านบาท ในปี 2563-2565 “หลุมรายได้” อาจมีขนาดถึง 2.6 ล้านล้านบาท  

อาการที่สอง: การจ้างงานถูกกระทบรุนแรง โดยเฉพาะกิจการในภาคบริการและกิจการที่มีสายป่านสั้น ข้อมูลการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ สะท้อนความเปราะบางสูง ได้แก่

(1) ผู้ว่างงาน/เสมือนว่างงาน (ผู้มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.4 ล้านคน ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 1 ล้านคน

(2) ผู้ว่างงานระยะยาว (เกิน 1 ปี) 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า  3 เท่าตัว

(3) ตัวเลขผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนอยู่ที่ 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 8.5 หมื่นคน

(4) แรงงานย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนาที่เพิ่มขึ้นจากภาคบริการ/อุตสาหกรรมในเมือง กลับไปยังภาค เกษตรที่มีผลิตภาพต่ำกว่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อปีในช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก 

อาการที่สาม: การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่เท่าเทียม (K-shaped) แม้จะมีภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่ ฟื้นตัวเกินระดับก่อนโควิดแล้วถึงเกือบ 20% จากเศรษฐกิจคู่ค้าที่สถานการณ์เบากว่าไทย แต่ภาคการผลิตเพื่อการส่งออกนี้ จ้างงานเพียง 8% ทำให้ผู้ได้ประโยชน์มีน้อย เทียบกับแรงงานในภาคบริการที่มีสูง ถึง 52% ที่ส่วนใหญ่ยังเดือดร้อน โดยรวมจึงยังทำให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือนยังเปราะบาง 

อาการที่สี่: ไทยแบกผลกระทบหนักกว่าและจะฟื้นช้ากว่าประเทศในภูมิภาค ไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในเอเชียคือ 11.5% ของจีดีพี ทำให้ทั้งปี 2563 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 6.1% เทียบกับ 4.9% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของประเทศในเอเชีย

คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลา 3 ปี ในการกลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่เอเชียโดยรวมใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ไตรมาสแรกของปีนี้จีดีพีของไทยยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิด 4.6% ขณะที่เอเชียโดยรวมฟื้นเหนือระดับก่อนโควิดแล้ว 


สถานการณ์รุนแรงกว่าที่คาดไว้อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม ?

ที่ผ่านมา ไทยคุมการระบาดได้ดี ทั้งในระลอกแรกที่ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2563 สามารถกลับมายังจุดที่ไม่มีผู้ติด เชื้อได้ และระลอกสอง ที่ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ มีผู้ติดเชื้อสะสมเพียงราว 29,000 ราย ทำให้ ธปท.มองว่าเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะทยอยฟื้นตัวได้ รวมถึงการท่องเที่ยว โดยมองการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 3%  

การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือไวรัสที่กลายพันธุ์และพัฒนาเป็นสายพันธุที่กระจายง่ายขึ้น วัคซีนได้ผล น้อยลงจน เกิดการระบาดระลอกสาม ณ ช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.6 แสนคน (ยอดรายวันที่ 4-5 พันคน) ธปท.ได้ปรับลดประมาณการลงเหลือ 1.8%

ล่าสุด สถานการณ์ผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 9 แสนคน (รายวันเกิน 20,000 คน) ระบบสาธารณสุขมีข้อจำกัดมากขึ้น ทำให้มาตรการคุมการระบาดต้องเข้มงวดขึ้น ธปท. จึงต้องปรับประมาณการปีนี้ลง โดยมีสมมติฐานสำคัญว่าจะทยอยลดมาตรการล็อกดาวน์ ลงในไตรมาสที่ 4 ซึ่งจะทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ เติบโตที่ 0.7% ดังนั้น ผลที่เปลี่ยนไป จากที่คาดคือเศรษฐกิจไทยถูกกระทบรุนแรงขึ้น 

ขณะเดียวกัน การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ ด้วย เพราะประสิทธิผลของวัคซีนต่อ สายพันธุ์นี้ลดลง การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ต่อไวรัสตัวนี้จึงยากขึ้น การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศ จึงทำอย่างระมัดระวัง ซึ่งมีนัยต่อภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเท่าระดับก่อนโค วิดได้หลังปี 2567 ไปแล้ว

อีกผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือ เศรษฐกิจไทยข้างหน้าจึงฟื้นตัวช้าออกไป เพราะภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของไทยคงไม่กลับมาปกติโดยเร็ว การล็อกดาวน์รอบนี้ยิ่งซ้ำเติมธุรกิจและครัวเรือน ส่งผลให้ฐานะการเงินมีความเปราะบางสูงขึ้น เพราะเงินออมลดลงทุกครั้งที่การระบาดกลับมา

สายป่านของครัวเรือนสั้นลงเรื่อย ๆ สะท้อนจากตัวเลขเงินฝากใน บัญชีที่มียอดต่ำกว่า 50,000 บาท ที่ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2564 ปรับลดลงเทียบกับปีก่อนเป็นครั้งแรก  โดยหดตัวที่ 1.6% ขณะที่เงินฝากในบัญชียอดสูงกว่า 1 ล้านบาทยังขยายตัวได้ที่ 6% ใกล้เคียงกับ ช่วงก่อนโควิด ขณะที่หนี้สินก็มีสัญญาณเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อชดเชยสภาพคล่องที่หายไป  


ประเด็นที่สอง “ในการรับมือสถานการณ์ที่รุนแรงและยาวนานมากขึ้น  อะไรคือมาตรการหรือแนวทางแก้ปัญหาที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ได้”  

ปัญหาของวิกฤตครั้งนี้มาจาก 3 ด้าน คือ (1) ปัญหาด้านสาธารณสุขที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต (2) ปัญหาด้านรายได้ที่เป็นปัญหาหลักและจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหากไม่ได้รับการเยียวยาที่ทันการณ์และ (3) ปัญหาภาระหนี้ ซึ่งเป็นผลพวงของรายได้ที่หายไป ซึ่งในการแก้ไขทั้ง 3 ปัญหา “หัวใจ” คือ “การแก้ไข ตามอาการ” 

ด้านแรก โควิดเป็นวิกฤติที่เริ่มต้นจากระบบสาธารณสุข การแก้ปัญหา “ตามอาการ” จึงต้องอาศัย เครื่องมือด้านสาธารณสุข ที่สำคัญ คือ วัคซีน และมาตรการควบคุมการระบาด ระหว่างนี้ ประชาชนจึงควรต้องได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างเพียงพอและการกระจายฉีดอย่างเหมาะสม เพื่อลดอัตราการ ตายและติดเชื้อ และให้กำลังการตรวจหาโรคมีเพียงพอ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลและช่วยให้บริหารจัดการการระบาดได้ดีขึ้น ลดโอกาสล็อกดาวน์หรือจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจ รายได้จึงจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564 ไทยมีสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเพียง 7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน 5 (สิงคโปร์ 70%, มาเลเซีย 31%, ฟิลิปปินส์ 11% และอินโดนีเซีย 10%) ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร, สเปน และอิตาลีมีสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมากกว่า 50% และประชากรกว่า 2 ใน 3 ได้ฉีดวัคซีนอย่าง น้อย 1 เข็ม ดังนั้น การได้รับภูมิคุ้มกันหมู่และการฟื้นตัวของไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง จะช้ากว่าอีก หลายประเทศโดยเปรียบเทียบ 

ในระหว่างที่สังคมไทยยังไม่ได้รับวัคซีนมากพอ เราจำเป็นต้องใช้มาตรการด้านสาธารณสุขต่าง ๆ คุมการ ระบาด เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามรุนแรงขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีต้นทุนด้านเศรษฐกิจสูง เพราะเป็นการจำกัดการเคลื่อนที่ของคน ซึ่งกระทบการดำเนินธุรกิจรุนแรง จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบด้าน สาธารณสุขกับเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ

ด้านที่สอง ในระหว่างที่สังคมไทยรอการเกิดภูมิคุ้มกันที่มากพอจากการฉีดวัคซีน ภาครัฐจะมีบทบาทในการ การเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจและครัวเรือน และดูแล “หลุมรายได้” ที่คาดว่าจะใหญ่ถึง 1.8 ล้านล้านบาทตลอด ปี 2563–2564 โดยเฉพาะในช่วงที่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐจะ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้งการใช้จ่ายของประชาชนยังจะหมุนเวียนไปสู่ธุรกิจต่าง ๆ ให้ดำเนิน ต่อไป รักษาการจ้างงานไว้ได้และไม่ต้องมีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว 

การใช้จ่ายภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจ ในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวในทุก ด้านจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เว้นแต่การใช้จ่ายภาครัฐด้านเดียวที่ยังขยายตัวได้และช่วยพยุงการบริโภคของภาคเอกชนได้อย่างมากหากไม่มีมาตรการเงินโอนช่วยเหลือจากภาครัฐผลกระทบจากโควิดต่อ การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะรุนแรงขึ้นมาก จากที่หดตัว 1% อาจสูงขึ้นเป็น 6.3% ได้  นอกจากนี้ การช่วยเยียวยารายได้ทำให้ความจำเป็นในการก่อหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจลดลงได้บ้าง 


ทำไมต้องเป็นภาครัฐที่จะมีบทบาทในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจและประชาชน ?

นอกจากภาครัฐยังมีธุรกิจการส่งออก ธุรกิจขนาดใหญ่หลายกลุ่ม และประชาชนบางกลุ่มยังมีรายได้และเงินออมสูงที่ยังมีกำลังซื้อในการพยุงเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ดีภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงทำให้ภาคเอกชนระมัดระวังการใช้จ่ายและเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ไม่มาก จึงมีเพียงภาครัฐที่ยังขับเคลื่อนได้ 

ภาคการส่งออกแม้จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวจากการได้รับวัคซีนที่เร็วให้กับประชากรได้ในสัดส่วนสูง โดยในปีนี้ มูลค่าการส่งออกคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 17.7% จากปีก่อนหน้า ช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 6.9% แต่เมื่อหักการนำเข้าสินค้าที่ส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกที่ส่งผลต่อจีดีพี ประมาณ 6.4% ทำให้สุทธิแล้วช่วยจีดีพี ได้เพียง 0.5% ซึ่งยังไม่สามารถชดเชยหรือเติมเต็ม “หลุมรายได้” ที่หายไปได้

นอกจากนี้การจ้างงานในภาคการส่งออกมีสัดส่วนเพียง 8% ของกำลังแรงงาน และที่ผ่านมายังไม่เห็นสัญญาณการจ้างงานเพิ่มขึ้นทำให้การส่งออกสามารถพยุงเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่นัก

ธุรกิจขนาดใหญ่แม้จะยังทำกำไรได้ต่อเนื่องแต่ยังไม่จ้างงานเพิ่ม โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ความสามารถ ในการทำกำไรของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์กลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิดแล้ว แต่งบลงทุนยังหดตัวจากช่วงก่อนโควิดอยู่ถึง 49% และการจ้างงานของธุรกิจขนาดใหญ่ ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 4.7%

แม้บริษัทเอกชนจะลงทุนเพิ่มขึ้นก็ยังไม่น่าจะเพียงพอเพราะสัดส่วนของการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ราว 18% ของจีดีพี ที่ผ่านมาการลงทุนภาคเอกชนโตเฉลี่ย 4.43% ซึ่งการลงทุนจะต้องนำเข้าเครื่องจักรพอควร ดังนั้น ถ้าธุรกิจใหญ่ลงทุนมากขึ้น เช่น 1 แสนล้าน จะช่วยให้จีดีพีเติบโตได้เพียง 0.2% - 0.3% เท่านั้น

เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจาก“หลุมรายได้”ที่ทั้งใหญ่และลึกรวมทั้งสถานการณ์ที่จะยาวนาน การใช้จ่ายของภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มอีกมากและ front-load ให้ได้มากที่สุด เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยพยุงการจ้างงานและเพิ่มรายได้ รวมถึงการใช้วงเงินตาม พ.ร.ก. 5 แสนล้านบาท ที่อาจเร่งนำมาใช้เยียวยากลุ่มเปราะบางให้ตรงจุดและทันการณ์ และออกมาตรการเพื่อรักษาการจ้างงาน และสร้างรายได้โดยเร็ว  

จะต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนกับมาตรการการคลังที่ส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจหรือมี “ตัวคูณ”  หรือ multiplier สูง เช่น มาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-pay) อาทิ มาตรการคนละครึ่ง (multiplier 1.5) และมาตรการค้าประกันสินเชื่อ (multiplier 2-2.6)

โดยมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากมักเป็นการดึงเม็ดเงินจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะมีผลเพิ่มเติมจากการเพิ่มสภาพคล่องของธุรกิจและการจ้างงาน ขณะที่มาตรการให้เงินเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจะมีความจำเป็นในระยะสั้น แต่เนื่องจากมีmultiplierต่ำ (0.8-1) จึงควรใช้แบบตรงจุด หรือ “ตามอาการ” ให้ได้มากที่สุด 

การวางนโยบายการพยุงการจ้างงานและสร้างรายได้อย่างเพียงพอ ต้องทำให้ได้ในวงกว้าง และต้องให้ ภาคเอกชนเข้ามาร่วมผลักดันมากขึ้น โดยเน้น

(1) การพยุงการจ้างงาน (job retention) โดยสร้าง แรงจูงใจให้เอกชนรักษาระดับการจ้างงาน

(2) กระตุ้นอุปสงค์ (demand creation) เพื่อเพิ่มการบริโภคและลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการจ้างงานในท้องถิ่นที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายกลับถิ่นจำนวนมาก

(3) ส่งเสริมการ เพิ่มหรือปรับทักษะ (upskill-reskill) ของแรงงาน เช่น โครงการ Co-payment ที่รัฐบาลควรขยายให้ ครอบคลุมแรงงานที่ตกงานและแรงงานคืนถิ่น นอกเหนือไปจากแรงงานจบใหม่ รวมทั้งขยายเวลาการจ้างงาน ภาครัฐที่จะสิ้นสุดเดือนกันยายนนี้ออกไป เป็นต้น

ทั้งนี้ภาครัฐควรมีบทบาทเป็นผู้ให้ความสะดวกโดยไม่ควรสร้างเงื่อนไขมากจนเป็นข้อจำกัดในการช่วยเหลือ และมีกระบวนสร้างความโปร่งใสในการพิจารณาและดำเนินมาตรการต่าง ๆ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการตอบโจทย์และ สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนไปในอนาคต 

ด้วยขนาดของรายได้ที่จะหายไป (ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท ระหว่างปี 2563-2565) เม็ดเงินของ ภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลังเพื่อช่วยให้รายได้และฐานะทางการเงินของประชาชนและ SMEs กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุดและลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด

เม็ดเงินจากภาครัฐที่เติมเข้าไปในระบบควร มีอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของจีดีพี

การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐจะช่วยให้จีดีพีกลับมาโตใกล้ศักยภาพเร็วขึ้นและจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระยะยาวปรับลดลงได้เร็วกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่ม โดยในกรณีที่รัฐบาลกู้เงิน เพิ่ม 1 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพี ในปี 2567 และจะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็ว

เนื่องจากฐานภาษีจะไม่ได้ลดลงจากแผลเป็นของเศรษฐกิจมากนัก เมื่อเทียบกับกรณีที่ รัฐบาลกู้เงินเพิ่มพบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2574) จะต่ำกว่ากรณีที่รัฐบาล ไม่ได้กู้เงินเพิ่มเติมถึงกว่า 54%

หากรัฐบาลไม่เร่งพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาวะที่ความไม่ แน่นอนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตยืดเยื้อ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแม้จะเพิ่มขึ้นช้าแต่จากการประมาณการคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงและปรับลดลงได้ไม่มากนักในระยะยาว ปัจจุบัน เสถียรภาพทางการคลังของไทยยังแข็งแกร่ง ภาครัฐยังมีศักยภาพในการก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ เนื่องจาก

(1) หนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำก่อนโควิด โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ 42% ณ ธันวาคม 2562 และเพิ่มขึ้นในช่วงโควิดประมาณ 14% (ระดับ 56% ณ มิถุนายน 2564) ซึ่งยังน้อยกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 19%) และกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เช่น กรีซ (เพิ่มขึ้น25.2%)

(2) หนี้สาธารณะของไทยเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ โดยสัดส่วนหนี้ในประเทศ ณ มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 98.2% ของหนี้สาธารณะทั้งหมด (3) ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ ไม่เป็นข้อจำกัดต่อภาระทางการคลัง สะท้อนจากอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของไทยที่ ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ไม่ถึง 1.6% ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของอาเซียน

ทั้งนี้เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ รัฐบาลต้องมีมาตรการรัดเข็มขัดในระยะปานกลาง เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีกลับลงมาในระยะข้างหน้า อาทิ การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษีและการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ

พร้อมทั้งปรับอัตราภาษีบางประเภทให้สอดคล้องกับบริบท ของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด สำหรับการใช้จ่าย มาตรการเงินโอนควรต้อง “ตรงจุด” และควร กำหนดเงื่อนไขของการได้รับเงินโอน (Conditional transfer) พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำและเพิ่ม สัดส่วนของรายจ่ายลงทุน

หากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตามศักยภาพได้เร็ว จะช่วยเร่งการเข้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากฐานภาษีและความสามารถในการจัดเก็บ ภาษีจะเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว หากรัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงเพิ่มเติมได้อีก ประมาณ 0.33% ต่อจีดีพี


ประเด็นที่ 3 “ภายใต้บริบทของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น ธปท. ประเมินผลของมาตรการเดิม อย่างไร และมีหลักคิดอย่างไรสำหรับมาตรการที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม” 

มาตรการทางการเงินของ ธปท. จะเป็นมาตรการเสริมในการช่วยดูแลภาระหนี้และเติมสภาพคล่องให้กับผู้ได้รับผลกระทบที่รายได้หายไปชั่วคราว โดยที่ผ่านมา มีการดำเนินการหลายมิติครอบคลุมลูกหนี้ที่หลากหลายและถูกปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความช่วยเหลือไปถึง ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจริง  

มิติแรก คือ การแก้ไขหนี้เพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของลูกหนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อ ลูกหนี้เป็นวงกว้าง รุนแรงยาวนาน และยังคาดเดาได้ยากว่าจะจบลงเมื่อใดและอย่างไร

สำหรับการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ถูกปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากช่วงแรก ของการระบาดที่สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน มาตรการช่วยเหลือจึงเป็นแบบปูพรม แต่เมื่อชัดขึ้นว่าสถานการณ์ จะยืดเยื้อออกไปและส่งผลต่อลูกหนี้ไม่เท่ากัน

ด้วยกระสุนที่จำกัด มาตรการระยะที่2 จึงเป็นการช่วยเหลือ ลูกหนี้แบบตรงจุด ให้ผู้เดือดร้อนมาแจ้งขอเข้ามาตรการและส่งเสริมให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่เมื่อการระบาดระลอกสาม (เมษายน 2564) ส่งผลรุนแรงขึ้นมาก มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 จึงเน้นบรรเทาภาระหนี้ในระยะยาว ลดภาระดอกเบี้ย และมีทางเลือกในการปิดหนี้โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีลูกหนี้รายย่อยที่อยู่ภายใต้มาตรการ จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.5 ล้านบัญชี 

สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบรุนแรง มีปัญหาในการชำระหนี้ ธปท. จัดให้มีช่องทางแก้หนี้ผ่าน คลินิกแก้หนี้ และโครงการไกล่เกลี่ยหนี้เพื่อแก้หนี้แบบเบ็ดเสร็จ และมีแนวทางแก้หนี้ที่เป็นมาตรฐาน โดย  ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีลูกหนี้เข้าโครงการในส่วนของบัตรเครดิตและ P-Loan ที่ได้รับความช่วยเหลือ สะสมแล้วกว่า 1.9 แสนบัญชี  

ในส่วนของลูกหนี้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบยืดเยื้อต้องใช้เวลานานกว่ากลุ่มอื่นในการฟื้นตัว โดยเป็นธุรกิจที่มีทรัพย์สินเป็นประกัน ธปท.จึงได้ออกแบบมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตัดภาระการผ่อนชำระหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกันได้ชั่วคราวอย่างตรง “อาการ” ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องทำความเข้าใจ ทั้งในฝั่งลูกหนี้ที่จะต้องโอนทรัพย์ให้เจ้าหนี้และกลัวโดนยึดทรัพย์ไป และฝั่งเจ้าหนี้ที่อาจไม่แน่ใจว่าลูกหนี้จะกลับมาซื้อทรัพย์คืนหรือไม่ในอนาคต

รวมถึงเจ้าหนี้จะต้องการให้ลูกหนี้เช่าทรัพย์กลับเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าไปดูแลแทนทำให้ต้องอาศัยเวลาในการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน โดย ตั้งแต่มาตรการออกใช้มีผู้เข้าร่วมโครงการ 50 ราย มูลค่าโอนสินทรัพย์ 8,991 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกิจการ โรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก รวมถึงกิจการอื่น ๆ เช่น โรงงาน ร้านอาหาร เป็นต้น 

มาตรการนี้เป็นอีกทางเลือกให้กับลูกหนี้ในการบรรเทาภาระหนี้เท่านั้นโดยยังมีอีกหลายทางเลือก เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาว การพักชำระหนี้ระยะสั้น หรือการเติมสภาพคล่อง ซึ่งจากข้อมูลลูกหนี้ใน กลุ่มโรงแรมและที่พักแรมที่มียอดหนี้คงค้างกับธนาคารพาณิชย์จำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาท พบว่า 69% หรือ 2.83 แสนล้านบาท ได้รับความช่วยเหลือโดยพบว่าเป็นการปรับโครงสร้างหนี้มากที่สุด โดย ธนาคารพาณิชย์ได้พิจารณาถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงได้ปรับลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ร่วมกับ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป 

จากมาตรการควบคุมการระบาดระลอกล่าสุด ธปท. ได้จัดให้มีมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน ที่เป็นการช่วยเหลือเร่งด่วนเฉพาะหน้าสำหรับลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยข้อมูล ณ  วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 มีลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ไทย แจ้งขอรับความช่วยเหลือจำนวนเงินรวม 353,705  ล้านบาท รวม 630,585 บัญชี

ได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 240,642 ล้านบาท (68%) คิดเป็น 375,153 บัญชี (59%) โดยอัตราการให้ความช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์ที่ไม่สูง มาก ส่วนใหญ่เนื่องจากยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ทำให้มีลูกหนี้ที่ต้องรอการพิจารณา ซึ่งธนาคารพาณิชย์กลุ่ม ดังกล่าวอยู่ระหว่างการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยปฏิบัติงานในการให้ความช่วยเหลือแล้ว 

ลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้ 2 เดือน ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบหนักและมีโอกาสจะต้องพักต่อไปอีก แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปและมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อกว่าที่คาดมาก การแก้ไขหนี้ในรูปแบบ ชั่วคราว เช่น การพักชำระหนี้จึงไม่ตรง “อาการ” แล้วเพราะจะเหมาะกับกรณีเศรษฐกิจมีปัญหาระยะสั้น และสถานการณ์กลับสู่ปกติเร็วถ้าต้องพักชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ นอกจากจะไม่ทำให้ภาระของลูกหนี้ลดลงจริง  ยังทำให้ลูกหนี้มีความเครียดจากความไม่แน่นอนและสิ้นเปลืองเวลาในการติดต่อสถาบันการเงิน ขณะที่ สถาบันการเงินเองก็สิ้นเปลืองต้นทุนการบริหารจัดการด้วย 

มิติที่สอง คือการเติมสภาพคล่องที่อาจต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างรายได้และบรรเทาภาระหนี้  เพื่อให้ลูกหนี้ยังดำรงชีวิตและดำเนินธุรกิจไปได้ในช่วงวิกฤตนี้ก่อน ในปัจจุบัน สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังมีเพียงพอ และอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมต่าง ๆ อยู่ในระดับต่ำสะท้อนว่าภาวะการเงินของไทยยังผ่อนคลาย แต่ความเสี่ยงจากสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่แน่นอนมีอยู่สูงทำให้สภาพคล่องไม่สามารถกระจายไป ยังผู้ที่ต้องการได้อย่างตรงจุด หรือตาม “อาการ” ได้เท่าที่ควร 

การเติมสภาพคล่องผ่านสินเชื่อภายใต้มาตรการฟื้นฟูสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ จึงเข้ามา ช่วยตอบโจทย์ให้การกระจายสินเชื่อทำได้ดีขึ้น และเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สะท้อนความมุ่งมั่นช่วยเหลือธุรกิจให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากได้ปรับเงื่อนไขจาก พ.ร.ก. soft loan เดิมให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สูงและสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ

โดยมีแนวโน้มดำเนินการได้ตามเป้าหมายร่วมของ ธปท.และสถาบันการเงินที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนตุลาคม 2564 โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภท ธุรกิจ และภูมิภาค โดย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ธปท. ได้อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูรวมทั้งสิ้น 89,444 ล้านบาท  ครอบคลุมลูกหนี้ จำนวน 29,365 ราย เฉลี่ยรายละ 3 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ Micro SMEs (44.2%) ประกอบธุรกิจกลุ่มการพาณิชย์และบริการ (67.5%) และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพและปริมณฑล (68.7%) 

อย่างไรก็ดีด้วยปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายต่างกัน การให้ความช่วยเหลือจึงไม่สามารถทำในลักษณะที่ เหมือนกันได้ในทุกกรณี (One size fits all) ซึ่งสถาบันการเงินและลูกหนี้ จะต้องหารือกัน โดยพิจารณา  (1) ความสามารถในการชำระคืนหนี้ในอนาคตเมื่อรายได้กลับมา และ (2) ระยะเวลาการจ่ายคืนหนี้ ให้สอดคล้องกับประมาณการรายได้ของลูกหนี้ในอนาคต ดังนั้น การช่วยเหลือที่ ธปท. อยากเห็นจึงไม่ใช่การ พักหนี้เป็นการทั่วไปในวงกว้าง เพราะการดำเนินการในวงกว้างจะส่งผลกระทบทางลบในระยะยาว  เนื่องจาก

1. ลูกหนี้ที่พักหนี้อยู่จะยังมีภาระดอกเบี้ยในแต่ละเดือนตลอดช่วงการพักหนี้ซึ่งเป็นภาระแก่ลูกหนี้ใน ระยะยาว ดังนั้น ลูกหนี้ที่ยังสามารถชำระหนี้ได้ ควรชำระหนี้เพื่อลดภาระโดยรวม 

2. สร้างแรงจูงใจที่ผิด (moral hazard) เพราะลูกหนี้ชั้นดีอาจอาศัยเป็นช่องทางประวิงเวลาการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้ที่เดือดร้อนจริงอาจไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอ  

3. ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน เพราะการพักหนี้เป็นการทั่วไปเป็นระยะเวลานานอาจ ทำให้สภาพคล่องในระบบจากการชำระคืนหนี้และดอกเบี้ยลดลง 

ในการออกแบบมาตรการช่วยลูกหนี้ในภาวะวิกฤตที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้บางมาตรการแม้จะอาจช่วยแบ่งเบาภาระให้ลูกหนี้ได้แต่ต้องชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังถึงผลได้ผลเสียหรือผลข้างเคียงโดยละเอียดก่อนโดยเฉพาะผลลบที่อาจเกิดต่อตัวลูกหนี้เอง 

การพิจารณาเรื่องเพดานดอกเบี้ย ต้องมองให้รอบด้าน โดยหลักการ คือ เพดานต้องไม่สูงมาก จนทำให้ลูกหนี้มีภาระดอกเบี้ยสูงเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ต่ำเกินไป จนเจ้าหนี้มีรายได้ไม่คุ้มต้นทุนการทำธุรกิจ  (ต้นทุนเงิน ต้นทุนความเสี่ยง ต้นทุนบริหารจัดการ) และให้ลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงไปสู่การกู้เงินนอกระบบที่ ดอกเบี้ยแพงกว่ามาก โดยในภาวะปัจจุบัหากจะปรับเพดานดอกเบี้ยลงอีกมีประเด็นที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ


ธปท. อยากเห็นอะไรในการแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ 

ด้วยปัญหาที่รุนแรง รายได้ที่หายไปมีขนาดใหญ่มาก เม็ดเงินจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐในปัจจุบัน คงไม่เพียงพอที่จะชดเชยเพื่อแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็ว ดังนั้น เพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้จะเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ต้องช่วยกัน 

ภาคเอกชนสามารถให้การสนับสนุนและช่วยเหลือกันในกลุ่มธุรกิจในวงกว้างขึ้น เพื่อให้รอดไปด้วยกัน ที่ผ่านมา เห็นการช่วยเหลือภายใน supply chain หรือระหว่างภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคบริการ เช่น การลดค่าเช่า ธุรกิจรายใหญ่ประสานข้อมูลกับสถาบันการเงินให้ธุรกิจหรือคู่ค้ารายย่อยให้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น  การจับมือระหว่างโรงพยาบาลกับที่พักแรม หรือโรงแรมกับร้านอาหาร ซึ่งหากกระจายความร่วมมือออกไป  จะเป็นอีกแรงในการประคับประคองธุรกิจ รายได้ และการจ้างงานได้อีกแรง 

ประชาชนควรให้ความสำคัญและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการระบาด รวมทั้งใช้สิทธิในการรับวัคซีน  เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ปกติได้โดยเร็วเพราะวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ปัญหาหลัก คือ ทรัพยากรทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนมีจำกัด ไม่พอที่จะช่วยทุกคนให้ได้ทุกเม็ดอย่างเต็มที่ ทำให้ต้องมีการชั่งน้ำหนักให้ความช่วยเหลือที่จะเกิดผลดีที่สุด เพราะหากผู้เดือดร้อนจริงไม่ได้รับความช่วยเหลือทันท่วงที ก็จะส่งผลลบกลับมายังธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม และย้อนกลับมาที่เราทุกคน

ในภาวะเช่นนี้ความเห็นใจและ เข้าใจว่า “ทุกคนเดือดร้อน แต่ความช่วยเหลือต้องเป็นไปตามความจำเป็นเร่งด่วนจึงอาจไม่ครบตามความ ต้องการได้ทั้งหมด ทำให้ทุกคนอาจต้องช่วยกันรับภาระมากขึ้น” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปด้วยกันได้เพื่อบริหารจัดการใน 3 ด้านสำคัญ  

ด้านสาธารณสุข ต้องเน้นการบรรเทาความเสี่ยงและควบคุมการระบาดให้ได้โดยเร็ว เช่น เตียงหรือยาที่มี จำกัดควรถูกจัดสรรให้กับผู้ป่วยที่ต้องการก่อนตาม “อาการ” รวมถึงวัคซีนที่ยังมีจำนวนจำกัด ต้องไปยังกลุ่ม ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเปราะบางก่อน เพื่อช่วยให้คนรอดและคุมการแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุด  

ด้านงบประมาณ ต้องมุ่งช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนหนักตาม “อาการ” ให้ทันการณ์ก่อน ทำให้ไม่สามารถ ดูแลทุกรายได้เท่ากันหรือเท่าที่ต้องการ นอกจากนี้แนวการบริหารจัดการภาวะวิกฤตควรสื่อสารให้ชัดเจน  เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนและภาคธุรกิจ และดูแลให้กฎระเบียบหรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ เพิ่มความ ยืดหยุ่นและไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจของประชาชน 

ด้านความสามารถในการจัดการหนี้ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นเจ้าหนี้มีจำกัด ทำให้ต้องเน้นการช่วยเหลือ ตาม “อาการ” เพื่อบริหารทรัพยากรให้เพียงพอที่จะช่วยลูกหนี้ในระยะยาวด้วย ดังนั้น ลูกหนี้ดีที่ยังสามารถ ชำระหนี้ได้ ขอให้เดินหน้าชำระต่อ เพื่อลดภาระในอนาคตและช่วยลูกหนี้รายอื่นให้ได้รับความช่วยเหลือ เต็มที่ ธปท. เองก็พร้อมดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้การช่วยเหลือกระจายออกไปได้เต็มศักยภาพ